การค้นพบครั้งสำคัญ
การค้นพบที่สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งวงการวิทยาศาสตร์ไทยและนานาชาติ เกิดขึ้นเมื่อ ดร.ศิตะ มานิตกุล นักวิจัยสังกัดศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้ค้นพบฟอสซิลสัตว์เลื้อยคลานบินได้สายพันธุ์ใหม่ของโลก ซากดึกดำบรรพ์ชิ้นนี้มีอายุกว่า 130 ล้านปี และได้รับการตั้งชื่อว่า “พญาครุฑ” ถือเป็นสัตว์เลื้อยคลานบินได้ตัวแรกที่ถูกค้นพบในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จุดเริ่มต้นของการค้นพบ
งานวิจัยด้านบรรพชีวินวิทยาของไทยมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นแหล่งฟอสซิลไดโนเสาร์และสัตว์ร่วมยุคสำคัญ อย่างไรก็ตาม พื้นที่จังหวัดสระแก้ว ภาคตะวันออก ก็เป็นอีกจุดที่น่าจับตา เนื่องจากเคยมีรายงานการพบฟอสซิลตั้งแต่ปี 2545 แต่ยังไม่มีการศึกษาเชิงลึก จนกระทั่งทีมวิจัยของ ดร.ศิตะ มานิตกุล กลับไปสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อน และพบฟอสซิลปริศนาที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบครั้งประวัติศาสตร์
ลักษณะของฟอสซิล
ฟอสซิลที่ค้นพบประกอบด้วยส่วนกะโหลก ขากรรไกร และฟันบางส่วน เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าไม่ตรงกับไดโนเสาร์หรือสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ข้อมูลโครงสร้างทางกายวิภาคชี้ชัดว่าเป็นสัตว์ในกลุ่ม Pterosaur หรือสัตว์เลื้อยคลานบินได้ที่มีชีวิตร่วมยุคกับไดโนเสาร์ อายุราว 130 ล้านปี นับเป็นการยืนยันครั้งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การตั้งชื่อ “พญาครุฑ”
ฟอสซิลชนิดใหม่นี้ได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garudimimus มาจากคำว่า Garuda หรือ “ครุฑ” ในคติความเชื่อและวัฒนธรรมของภูมิภาค ร่วมกับคำว่า pteros ในภาษากรีกที่แปลว่า “ปีก” รวมความหมายว่า “ปีกของครุฑ” นอกจากนี้ ชื่อสายพันธุ์ยังตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักบรรพชีวินวิทยาชาวฝรั่งเศสที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกงานวิจัยในประเทศไทย ส่วนชื่อเล่น “พญาครุฑ” ทำให้สื่อสารกับสังคมได้ง่ายและเข้าถึงผู้คนกว้างขวาง
ความสำคัญของการค้นพบ
“พญาครุฑ” คือสัตว์เลื้อยคลานบินได้ตัวแรกของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การค้นพบนี้ช่วยยืนยันว่า พื้นที่ประเทศไทยในอดีตเคยเป็นถิ่นอาศัยของ Pterosaur และเป็นหลักฐานสำคัญต่อการศึกษาระบบนิเวศยุคไดโนเสาร์ อีกทั้งยังสร้างความสนใจในวงวิชาการและสังคมทั่วไป เนื่องจาก Pterosaur เป็นสัตว์ที่ผู้คนคุ้นเคยจากภาพยนตร์และสื่อโลกดึกดำบรรพ์
การวิจัยและความร่วมมือ
แม้ฟอสซิลที่พบจะมีเพียงไม่กี่ชิ้น แต่ด้วยการอนุรักษ์และศึกษาร่วมกับนักวิจัยจากจีนและบราซิล ซึ่งเชี่ยวชาญด้าน Pterosaur ทำให้สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชนิดพันธุ์ใหม่ของโลก งานวิจัยนี้ใช้เวลาศึกษาราว 1 ปี ก่อนจะตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับนานาชาติเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
การต่อยอดสู่สังคม
การค้นพบ “พญาครุฑ” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่วงวิชาการ แต่ยังถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ผ่านค่ายเยาวชน อบรมเชิงปฏิบัติการ และนิทรรศการร่วมกับพิพิธภัณฑ์ทั่วประเทศ เพื่อสร้างการเรียนรู้แก่เยาวชนและประชาชน ฟอสซิลนี้จึงเป็นสื่อกลางสำคัญที่ช่วยให้สังคมเข้าถึงศาสตร์บรรพชีวินวิทยา และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความสนใจในงานวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น
ฝากถึงสาธารณชน
บรรพชีวินวิทยาแม้จะศึกษาสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ไม่เคยล้าสมัย เพราะเป็นประตูสู่การเข้าใจโลกและธรรมชาติในอดีต การค้นพบ “พญาครุฑ” จึงไม่เพียงเป็นความภาคภูมิใจของนักวิจัยไทย แต่ยังสะท้อนศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่กล้าค้นคว้าและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ยังรอการค้นพบใต้ผืนแผ่นดินไทย
ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
ดร.ศิตะ มานิตกุล นักวิจัยสังกัดศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เบอร์โทรศัพท์ 043 754373