เห็ดถือเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และอุตสาหกรรมสุขภาพอย่างมากมาย ในหลายศตวรรษที่ผ่านมา เห็ดได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ นอกจากนั้น เห็ดยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิด เช่น โพลีแซคคาไรด์ ฟลาโวนอยด์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านการอักเสบ และป้องกันการเกิดโรคต่างๆหนึ่งในเห็ดที่ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการวิจัยปัจจุบันคือ "เห็ดตับเต่า (Agaricus blazei) (เห็ดผึ้ง)" เห็ดชนิดนี้ถูกพบว่ามีสารสำคัญหลายชนิดที่มีศักยภาพทางการแพทย์และการดูแลผิวพรรณ การวิจัยก่อนหน้านี้พบว่าเห็ดตับเต่ามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดความเสียหายของเซลล์ที่เกิดจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายและประโยชน์ทางสุขภาพที่โดดเด่น การสกัดสารจากเห็ดตับเต่าจึงได้รับความสนใจจากนักวิจัยของ มมส ภายใต้การดำเนินการของ ผศ.ดร.อำภา คนซื่อ รศ.ดร.ลือชัย บุตคุป และผศ.ดร.ธีรพร กทิศาสตร์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ชื่อโครงการ /ชื่อ-สกุล ผู้รับผิดชอบ
นวัตกรรมเซรั่มหน้าขาวจากไมซีเลียมของเห็ดผึ้งจากพื้นที่ป่านาสีนวนจังหวัดมหาสารคาม (ในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) คณะผู้วิจัย ผศ.ดร.อำภา คนซื่อ รศ.ดร.ลือชัย บุตคุป และผศ.ดร.ธีรพร กทิศาสตร์
โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริม ววน. ประจำปีงบประมาณ 2564
กล่าวถึงที่มาของการทำวิจัยชิ้นนี้
ที่มาของการทำวิจัยนี้มาจากการตระหนักถึงความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ป่านาสีนวน จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็ดป่าซึ่งเป็นแหล่งสำคัญในการดำรงชีวิตของชุมชนโดยรอบ
"เห็ดผึ้ง" เป็นหนึ่งในเห็ดป่าที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ แต่มีราคาสูงและผลผลิตไม่สม่ำเสมอในธรรมชาติ คณะผู้วิจัยจึงเล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากเห็ดชนิดนี้อย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสารสกัดของเห็ดผึ้ง จากการศึกษาเบื้องต้น พบว่าสารสกัดจากเห็ดผึ้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูง ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และทำให้ผิวหน้าขาวกระจ่างใสขึ้น การวิจัยนี้มีเป้าหมายในการพัฒนานวัตกรรมเซรั่มหน้าขาวจากไมซีเลียมของเห็ดผึ้ง โดยใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงไมซีเลียมในห้องปฏิบัติการเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สม่ำเสมอและมีคุณภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรท้องถิ่น และส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจฐานชีวภาพ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาตินี้ยังสอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในประเด็นการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูงในการผลิตเวชสำอางและสารสกัดสมุนไพร
นอกจากนี้ การวิจัยนี้ยังเป็นการสนองพระราชดำริ ในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยการศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรท้องถิ่นแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนอีกด้วย
โดยสรุป การวิจัยนี้มีที่มาจากการบูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากทรัพยากรท้องถิ่น โดยคำนึงถึงการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ การสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำทำวิจัยเรื่องนี้?
การสนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งมุ่งเน้นการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน ความต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรท้องถิ่น โดยเฉพาะเห็ดผึ้งซึ่งเป็นเห็ดป่าที่มีราคาสูงแต่ผลผลิตไม่สม่ำเสมอในธรรมชาติ ศักยภาพของสารสกัดจากเห็ดผึ้งที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แนวโน้มความต้องการของตลาดเครื่องสำอางที่มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ปลอดภัย และไม่มีผลข้างเคียง โอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพมูลค่าสูง ตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ความท้าทายในการพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงไมซีเลียมในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสม่ำเสมอ ความต้องการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและลดริ้วรอย โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ
เห็ดผึ้งมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร ทำไมต้องเป็นเห็ดผึ้งในการสกัดออกมาเป็นเซรั่ม
เห็ดผึ้งมีคุณสมบัติพิเศษหลายประการที่ทำให้เหมาะสมในการนำมาสกัดเป็นเซรั่ม ดังนี้
1.ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง: จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่าสารสกัดจากเห็ดผึ้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอย และฟื้นฟูสุขภาพผิว
2.ความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส: เห็ดผึ้งมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานิน การยับยั้งเอนไซม์นี้ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น
3.คุณค่าทางโภชนาการสูง: เห็ดผึ้งมีปริมาณโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสูง ซึ่งอาจมีประโยชน์ต่อการบำรุงผิว
4.สารพฤกษเคมีที่หลากหลาย: เห็ดผึ้งประกอบด้วยสารพฤกษเคมีหลายชนิด เช่น โพลีแซคคาไรด์ เทอร์พีนอยด์ และฟีนอลิก ซึ่งอาจมีคุณสมบัติในการบำรุงผิวและต้านการอักเสบ
5.ความปลอดภัย: เห็ดผึ้งเป็นเห็ดที่รับประทานได้และมีความปลอดภัยสูง ทำให้มีโอกาสเกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงต่ำเมื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
6.ทรัพยากรท้องถิ่น: เห็ดผึ้งเป็นเห็ดป่าที่พบได้ในพื้นที่ป่านาสีนวน จึงเป็นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่นและสร้างมูลค่าเพิ่ม
7.ความท้าทายในการเพาะเลี้ยง: การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงไมซีเลียมของเห็ดผึ้งในห้องปฏิบัติการเป็นความท้าทายทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ
8.ศักยภาพทางการตลาด: เห็ดผึ้งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ซึ่งอาจช่วยในการทำการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมจากเห็ดผึ้ง
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ เห็ดผึ้งจึงมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นส่วนผสมสำคัญในเซรั่มบำรุงผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและลดเลือนริ้วรอย
อุปสรรค หรือปัญหาอะไรบ้างที่พบระหว่างการทำวิจัย?
1.การเพาะเลี้ยงไมซีเลียมของเห็ดผึ้งในห้องปฏิบัติการอาจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการพัฒนาเทคนิคที่เหมาะสม
2.การสกัดสารสำคัญจากไมซีเลียมและการหาสภาวะที่เหมาะสมในการสกัดอาจต้องใช้การทดลองหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
3.การพัฒนาสูตรเซรั่มที่มีความคงตัวและประสิทธิภาพสูงอาจต้องมีการปรับปรุงหลายครั้ง
4.การทดสอบการระคายเคืองและประสิทธิภาพในอาสาสมัครอาจมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนอาสาสมัครและระยะเวลาในการทดสอบ
5.การควบคุมคุณภาพของวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ให้มีความสม่ำเสมออาจต้องใช้การทดลองหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
6.อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณหรือทรัพยากรในการดำเนินการวิจัย
คุณสมบัติและจุดเด่นของงานวิจัยเป็นอย่างไร
1.นวัตกรรมจากทรัพยากรท้องถิ่น: เป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากเห็ดผึ้งซึ่งเป็นทรัพยากรท้องถิ่นในพื้นที่ป่านาสีนวน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัตถุดิบธรรมชาติ
2.การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ: มีการพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงไมซีเลียมในห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสม่ำเสมอ
3.ประสิทธิภาพสูง: สารสกัดจากไมซีเลียมเห็ดผึ้งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสสูง ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและลดริ้วรอย
4.ความปลอดภัย: ผ่านการทดสอบการระคายเคืองในอาสาสมัคร และใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ปลอดภัย
5.การทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิก: มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครด้วยเครื่องมือวัดผลที่ทันสมัย (3d Facial analysis)
6.ตอบสนองความต้องการตลาด: สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
7.การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน: เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
8.ศักยภาพทางเศรษฐกิจ: สามารถพัฒนาต่อยอดสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ สร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ
9.องค์ความรู้ใหม่: สร้างองค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเห็ดผึ้งในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
10.บูรณาการศาสตร์: เป็นการบูรณาการความรู้จากหลายศาสตร์ ทั้งด้านชีววิทยา เทคโนโลยีชีวภาพ เภสัชศาสตร์ และวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง
ผลลัพธ์ที่ได้จากการวิจัยนี้เป็นอย่างไร? (ได้ภาพสารสกัดไมซีเลียมจากเห็ดผึ้ง)
1.พัฒนาตำรับเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารสกัดไมซีเลียมจากเห็ดผึ้งที่มีความคงตัวดี โดยเซรั่มมีลักษณะเนื้อละเอียด สีเหลืองอ่อน ไม่มีกลิ่น และไม่แยกชั้น
2.เซรั่มมีค่า pH ประมาณ 6.5-6.6 ซึ่งเหมาะสมกับผิวหนัง
3.ผ่านการทดสอบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ตามมาตรฐาน
4.ไม่พบการระคายเคืองต่อผิวหนังในอาสาสมัครทั้ง 36 คนที่ทดสอบ
5.อาสาสมัครมีความพึงพอใจสูงสุดต่อเซรั่มที่มีความเข้มข้นของสารสกัดไมซีเลียม 1%
6.ผลการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร 30 คน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า:
*เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ 179.7%
*ลดเม็ดสีผิวลง 49.8%
*เพิ่มปริมาณอีลาสติน 74.6%
7.ผลการทดสอบทางสถิติแสดงให้เห็นว่าเซรั่มไมซีเลียมมีประสิทธิภาพดีกว่าเซรั่มเบสอย่างมีนัยสำคัญ
8.ได้องค์ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากเห็ดผึ้งในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
9.สามารถพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงไมซีเลียมเห็ดผึ้งในห้องปฏิบัติการได้สำเร็จ
10.ได้ผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่มีศักยภาพในการพัฒนาต่อยอดเชิงพาณิชย์
โดยสรุป งานวิจัยนี้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเซรั่มจากสารสกัดไมซีเลียมเห็ดผึ้งที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวกระจ่างใส เพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอย โดยมีความปลอดภัยและเป็นที่พึงพอใจของผู้ใช้
มีส่วนไหนของงานวิจัยที่คุณต้องการพัฒนาเพิ่มเติมหรือไม่?
1.ระยะเวลาการทดสอบ: อาจขยายระยะเวลาการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครให้นานขึ้น เช่น 8-12 สัปดาห์ เพื่อดูผลระยะยาว
2.ขนาดกลุ่มตัวอย่าง: เพิ่มจำนวนอาสาสมัครให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือทางสถิติ
3.การเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด: ทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพกับผลิตภัณฑ์เซรั่มหน้าขาวที่มีจำหน่ายในท้องตลาด
4.การศึกษากลไกการออกฤทธิ์: วิเคราะห์กลไกการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในระดับเซลล์และโมเลกุล
5.การทดสอบในกลุ่มผู้มีปัญหาผิวหนัง: ศึกษาผลในกลุ่มที่มีปัญหาฝ้า กระ หรือริ้วรอยชัดเจน
6.การพัฒนาสูตรตำรับอื่นๆ: นอกจากเซรั่ม อาจพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่น เช่น ครีม มาส์กหน้า
7.การศึกษาความคงตัวระยะยาว: ทดสอบความคงตัวของผลิตภัณฑ์ในระยะเวลาที่นานขึ้น เช่น 1-2 ปี
8.การวิเคราะห์ต้นทุนการผลิต: ศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ในการผลิตเชิงพาณิชย์
9.การพัฒนาบรรจุภัณฑ์: ออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการจำหน่ายจริง
10. การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: วิเคราะห์ผลกระทบของกระบวนการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ต่อสิ่งแวดล้อม
การพัฒนาเพิ่มเติมในประเด็นเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์และความน่าเชื่อถือของงานวิจัย รวมถึงเพิ่มโอกาสในการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ต่อไป
ฝากอะไรถึงนักวิจัยรุ่นใหม่
1.จงมองหาโอกาสจากสิ่งรอบตัว: งานวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าทรัพยากรท้องถิ่นอย่างเห็ดป่าสามารถพัฒนาเป็นนวัตกรรมที่มีคุณค่าได้
2.บูรณาการความรู้จากหลายศาสตร์: การผสมผสานความรู้จากหลายสาขาสามารถสร้างงานวิจัยที่มีคุณค่าและนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง
3.คำนึงถึงความยั่งยืน: การวิจัยที่ดีควรสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
4.มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวก: พิจารณาว่างานวิจัยของคุณจะสร้างประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนได้อย่างไร
5.เปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่: การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยเพิ่มความแม่นยำของงานวิจัย
6.ให้ความสำคัญกับการทดสอบความปลอดภัย: โดยเฉพาะในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สำหรับมนุษย์
7.มองเห็นโอกาสทางการตลาด: งานวิจัยที่ดีควรมีศักยภาพในการต่อยอดเชิงพาณิชย์
8.เรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น: ผสมผสานความรู้ดั้งเดิมกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เพื่อสร้างนวัตกรรม
9.อดทนและมุ่งมั่น: การพัฒนานวัตกรรมต้องใช้เวลาและความพยายาม อย่าท้อถอยเมื่อพบอุปสรรค
10.แบ่งปันความรู้: การเผยแพร่ผลงานวิจัยช่วยสร้างแรงบันดาลใจและต่อยอดความรู้ให้กับผู้อื่น
จงเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง และใช้การวิจัยเป็นเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคมและโลกของเรา
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ไหน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อำภา คนซื่อ สาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือ
เบอร์โทร 043-722393