ในปัจจุบัน "โรคสเตรปโตคอคโคซีส" (Streptococcosis) นับเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเพาะเลี้ยงปลานิลของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปลานิลเป็นสัตว์เศรษฐกิจหลักที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง โรคนี้มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus agalactiae ทำให้เกิดอัตราการตายสูงในฟาร์ม ส่งผลต่อผลผลิตและความมั่นคงทางอาหารของประเทศ ดังนั้น การพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้จึงเป็นแนวทางสำคัญในการยกระดับคุณภาพการเลี้ยงปลาอย่างยั่งยืน



รศ.ดร.เอกพล วังคะฮาต อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร สาขาประมง คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้วิจัยและพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีสในปลานิล โดยมุ่งเน้นการสร้างภูมิคุ้มกันในปลาอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม งานวิจัยดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะในระบบการเลี้ยงปลาแล้ว ยังสามารถนำไปต่อยอดสู่การผลิตวัคซีนในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่ตอบโจทย์ด้านการวิจัยเชิงประยุกต์เพื่อชุมชน และประเทศอย่างแท้จริง

แรงจูงใจหรือปัญหาสำคัญที่ทำให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีสในปลานิล? 
      แรงจูงใจในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีสในปลานิล เกิดจากปัญหาโรคระบาดที่รุนแรงในฟาร์มเลี้ยงปลานิลของประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้ปลาตายจำนวนมาก และสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เกษตรกรจึงต้องพึ่งพายาปฏิชีวนะมากเกินไป จนเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาและสารตกค้าง "การพัฒนาวัคซีนจึงเป็นทางออกที่ยั่งยืน ช่วยป้องกันโรค ลดการใช้ยา และเสริมภูมิคุ้มกันให้กับปลา ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ" เพื่อให้นักวิจัยช่วยกันพัฒนาวัคซีนสำหรับการป้องกันโรคขึ้น


โรคสเตรปโตคอคโคซีสมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงปลานิลมากน้อยเพียงใดในประเทศไทย? 
       โรคสเตรปโตคอคโคซีสส่งผลกระทบรุนแรงต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงปลานิลในประเทศไทย เนื่องจากทำให้ปลาตายสูงถึง 50–100% โดยเฉพาะในระบบเลี้ยงที่หนาแน่น ส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนหนัก และกระทบต่อการส่งออกปลานิลของไทย การระบาดของโรคนี้ ยังลดความเชื่อมั่นของตลาดต่างประเทศ จึงเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องควบคุมอย่างจริงจังเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรม
ก่อนหน้านี้มีวิธีการป้องกันหรือรักษาโรคนี้อย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง? 
      ก่อนหน้านี้ วิธีป้องกัน และรักษาโรคสเตรปโตคอคโคซีสในปลานิล ส่วนใหญ่ใช้การให้ ยาปฏิชีวนะ เพื่อควบคุมการติดเชื้อ รวมถึงการจัดการฟาร์มที่ดี เช่น ลดความหนาแน่นของปลา และควบคุมคุณภาพน้ำ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดหลักของวิธีเหล่านี้คือ:
1. การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย จากการใช้ยาซ้ำๆ
2. สารตกค้างในเนื้อปลา ซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและการส่งออก
3. ต้นทุนสูง และไม่สามารถควบคุมโรคได้อย่างถาวร
4. ไม่กระตุ้นภูมิคุ้มกันในปลา ทำให้เสี่ยงเกิดการระบาดซ้ำ
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงเป็นเหตุผลที่มีการหันมาเน้น การพัฒนาวัคซีน เพื่อเป็นแนวทางป้องกันที่ยั่งยืนมากขึ้นในปัจจุบัน



ใช้เทคนิคหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์แบบใดในการพัฒนาวัคซีนครั้งนี้?
     การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีสในปลานิล โดยชนิดเชื้อตาย (inactivated vaccine) พัฒนาจากเชื้อ Streptococcus agalactiae ที่แยกจากปลาป่วยจริงในฟาร์ม โดยนำเชื้อมาทำให้ตายด้วยสารเคมีแต่ยังคงโครงสร้างแอนติเจน จากนั้นผสมกับสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (adjuvant) และนำไปทดสอบในปลานิล "งานวิจัยนี้ เราพัฒนาวิธีการให้วัคซีนทั้งแบบการฉีด การแช่ และการผสมลงในอาหาร ผลการทดลองพบว่าวัคซีนชนิดนี้ปลอดภัย ใช้ง่าย ลดอัตราการตายของปลาได้อย่างมีนัยสำคัญ และช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มได้อย่างชัดเจน" เหมาะสำหรับนำไปใช้จริงในเชิงพาณิชย์

มีการคัดเลือกสายพันธุ์เชื้อสเตรปโตคอคคัสมาอย่างไรในการวิจัย?
     การคัดเลือกสายพันธุ์เชื้อสเตรปโตคอคคัสในการวิจัย จะเน้นเลือกสายพันธุ์ที่ก่อโรครุนแรงในปลานิลจริงๆ จากฟาร์มที่มีการระบาด เพื่อให้วัคซีนพัฒนาขึ้นมาตรงกับเชื้อที่พบในธรรมชาติ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรมและความสามารถในการก่อโรค เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้เป็นวัคซีน



วัคซีนนี้เป็นชนิดเชื้อตาย เชื้อเป็น หรือชนิดใหม่แบบใด?
      โดยทั่วไป วัคซีนในปลามีหลายชนิด ได้แก่ วัคซีนเชื้อตายที่ใช้เชื้อที่ถูกฆ่าตายซึ่งปลอดภัย และใช้งานง่าย วัคซีนเชื้อเป็น (attenuated) ที่ใช้เชื้ออ่อนฤทธิ์ซึ่งกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้แรงกว่าแต่มีความเสี่ยงมากกว่า วัคซีนโปรตีน หรือแอนติเจนบริสุทธิ์ที่ใช้เฉพาะส่วนของเชื้อ เพื่อความปลอดภัยสูง และวัคซีนดีเอ็นเอที่ใช้ชิ้นส่วนดีเอ็นเอของเชื้อในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนวิจัย นอกจากนี้ ยังมีวัคซีนรวมหลายโรค (multivalent) ที่รวมแอนติเจนจากหลายเชื้อในวัคซีนเดียวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหลายชนิดพร้อมกัน วัคซีนที่พัฒนาครั้งนี้เป็น วัคซีนชนิดเชื้อตาย ซึ่งใช้เชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัสที่ถูกทำให้ตายแล้ว เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันในปลานิล มีความปลอดภัยสูง และเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการป้องกันโรคนี้

ใช้เวลานานเท่าใดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการวิจัยจนถึงการทดลองวัคซีนในปลา?
       ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการวิจัยจนถึงการทดลองวัคซีนในปลานิล ใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี จริง ๆ ผมเริ่มงานวิจัยนี้มาตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการคัดเลือกเชื้อ การพัฒนาวัคซีน การทดสอบความปลอดภัย และการประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนในปลานิลทดลอง



มีการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างไร และในระดับใดบ้าง (ห้องทดลอง-ฟาร์มจริง)?
งานวิจัยนี้ มีการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนที่พัฒนาขึ้นมีดังนี้: 
1. การทดสอบในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Testing): เริ่มต้นด้วยการทดสอบวัคซีนในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินความปลอดภัย และประสิทธิภาพเบื้องต้น เช่น การกระตุ้นภูมิคุ้มกันในปลานิล และการตรวจสอบปฏิกิริยาของวัคซีนกับเชื้อ Streptococcus agalactiae 
2. การทดสอบในฟาร์มจริง (Field Trials): หลังจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ วัคซีนถูกนำไปทดสอบในฟาร์มจริงที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น เพื่อประเมินประสิทธิภาพในการป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีส ในสภาพแวดล้อมการเลี้ยงจริง เช่น อัตราการรอดชีวิตของปลาและการลดลงของอัตราการติดเชื้อ รวมทั้งประเมินผลทางเศรษฐศาสตร์ ของความคุ้มค่าจากการให้วัคซีนอีกด้วยการทดสอบทั้งสองระดับนี้ช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของวัคซีนได้อย่างครอบคลุม ก่อนที่จะนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์และการผลิตในวงกว้าง

ผลการทดลองในภาคสนามพบว่าวัคซีนสามารถลดอัตราการตายของปลานิลได้กี่เปอร์เซ็นต์?
        ผลการทดลองในภาคสนามพบว่าวัคซีนสามารถลดอัตราการตายของปลานิลได้ประมาณ 50-60% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับวัคซีน ทำให้เห็นว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของปลาในสภาพแวดล้อมการเลี้ยงจริงอย่างมีนัยสำคัญครับ



วัคซีนมีผลข้างเคียงหรือผลกระทบต่อปลาในระยะยาวหรือไม่?
         ผลการวิจัยระบุว่า วัคซีนชนิดเชื้อตายนี้มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียง หรือผลกระทบที่สำคัญต่อปลานิลในระยะยาว หลังจากได้รับวัคซีน ปลายังแสดงการเจริญเติบโตปกติ และไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีน จึงถือว่าวัคซีนนี้เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการใช้งานในฟาร์มเลี้ยงปลานิลครับ

วัคซีนนี้ช่วยลดต้นทุนการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงปลาได้มากน้อยเพียงใด?
        วัคซีนช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์มเลี้ยงปลานิลได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปลาที่ได้รับวัคซีนมีอัตราการติดเชื้อ และการตายน้อยลง จึงช่วยลดการใช้ยาและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคได้มาก โดยประมาณการลดการใช้ยาปฏิชีวนะได้ถึง 40-50% ในฟาร์มที่ใช้วัคซีนอย่างต่อเนื่องครับ



แผนการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือการผลิตวัคซีนเชิงพาณิชย์เพื่อใช้จริงในฟาร์มหรือไม่?
        วัคซีนชนิดนี้มีศักยภาพในการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ เช่น การให้วัคซีนทางปากหรือการผสมลงในอาหาร (Oral Vaccine): ทำให้การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ซึ่งช่วยลดต้นทุนและแรงงานในการดูแล และการใช้สารเสริมฤทธิ์หรือ adjuvant เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกัน: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของวัคซีน และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และต้านทานต่อโรคได้นานขึ้น การพัฒนาวัคซีนเชิงพาณิชย์ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ เช่น การผลิตในปริมาณมาก การทดสอบความปลอดภัย และประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมการเลี้ยงจริง และการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ และความร่วมมือจากภาคเอกชน วัคซีนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะนำไปใช้ในฟาร์มเลี้ยงปลานิลในเชิงพาณิชย์ได้ในอนาคต เรามีจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือการผลิตวัคซีนเชิงพาณิชย์ เพื่อใช้จริงในฟาร์มอีกแน่นอนครับ

งานวิจัยนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิลอย่างไร?
         งานวิจัยนี้ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเลี้ยงปลานิล โดยการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ในการป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีส ทำให้ปลาแข็งแรง ลดอัตราการตาย และเพิ่มผลผลิต ส่งผลให้เกษตรกรลดการใช้ยาปฏิชีวนะ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้จากการขายปลา นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความมั่นใจในตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศอีกด้วย



มีการร่วมมือกับชุมชนหรือกลุ่มเกษตรกรในขั้นตอนทดลองวัคซีนหรือไม่?
        การทดสอบในภาคสนาม ผมได้ทดลองทำในฟาร์มเลี้ยงปลาจริง ที่เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น โดยเป็นการเลี้ยงปลานิลในกระชัง โดยมีความร่วมมือกับเกษตรกร หรือเจ้าของฟาร์มที่ให้ความอนุเคราะห์การทดลองตลอดการเลี้ยง ประมาณ 5 เดือน เพื่อประเมินประสิทธิภาพวัคซีนในสภาพแวดล้อมจริง

มีการอบรมหรือถ่ายทอดความรู้ให้เกษตรกรเกี่ยวกับการใช้วัคซีนหรือไม่?
        ในกระบวนการนำวัคซีนไปใช้จริงในฟาร์ม การอบรม และถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกรถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่มักจะดำเนินควบคู่กับการพัฒนาวัคซีนเชิงพาณิชย์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถใช้วัคซีนได้อย่างถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด หากวัคซีนนี้เข้าสู่กระบวนการผลิตและจำหน่ายในอนาคต มีแนวโน้มว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาครัฐหรือเอกชน จะจัดกิจกรรมอบรมให้เกษตรกรอีกอย่างแน่นอนครับ



เกษตรกรมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะอย่างไรต่อวัคซีนตัวนี้?
หากวัคซีนมีการนำไปใช้งานจริงในฟาร์ม คาดว่าจะต้องมีการรวบรวม ข้อเสนอแนะจากเกษตรกร เช่น
ความสะดวกในการใช้งาน (เช่น ผสมในอาหารได้ง่ายหรือไม่)
ความคุ้มค่าต่อการลงทุน
ผลต่อสุขภาพปลาและอัตรารอด
ความต้องการอบรมหรือคู่มือการใช้งาน
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีความสำคัญต่อการปรับปรุงวัคซีนและการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระยะถัดไปครับ.

แผนการเผยแพร่ความรู้ และขยายผลวัคซีนนี้ไปยังชุมชนอื่นๆ หรือจังหวัดอื่นๆ อย่างไร?
        การทดสอบวัคซีนในสภาพฟาร์มจริงที่มีการเลี้ยงปลานิล ในกระชังบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ในการนำวัคซีน ไปใช้งานในระดับชุมชน และขยายผลในอนาคตการนำวัคซีนไปใช้ในวงกว้างมักจะต้องมีการวางแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิจัย และภาคเอกชน เพื่อจัดการอบรมและถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร การอบรมเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรเข้าใจวิธีการใช้วัคซีนอย่างถูกต้องและสามารถประยุกต์ใช้ในฟาร์มของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากมีการพัฒนาวัคซีนนี้ต่อไปจนถึงขั้นตอนการผลิต และจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ คาดว่าจะมีการจัดกิจกรรมอบรมและเผยแพร่ความรู้ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้วัคซีนและยกระดับคุณภาพการเลี้ยงปลานิลในประเทศไทย



ทีมวิจัยมีแผนจะพัฒนาวัคซีนเพิ่มเติมสำหรับโรคอื่นในปลานิลหรือปลาเศรษฐกิจชนิดอื่นหรือไม่?
       การวิจัยในด้านวัคซีนสัตว์น้ำมีแนวโน้มขยายไปสู่โรคอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงปลา เช่น โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส Tilapia Lake Virus (TiLV) ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญในหลายประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ adjuvants เช่น MONTANIDE™ ในการพัฒนาวัคซีนสำหรับโรคอื่นๆ ในปลา เช่น Streptococcus iniae และ Aeromonas hydrophila ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการขยายการใช้เทคโนโลยีวัคซีนไปยังโรค และสายพันธุ์ปลาต่างๆ ในการพัฒนาวัคซีน เพิ่มเติมมีแนวโน้มของการวิจัย และพัฒนาในด้านนี้มีความเป็นไปได้สูงที่จะขยายไปสู่โรคและสายพันธุ์ปลาที่หลากหลายในอนาคต

มีแนวทางพัฒนาเป็นวัคซีนแบบรวมหลายโรค (multivalent vaccine) หรือไม่?
       วัคซีน multivalent หรือ วัคซีนรวมหลายโรค คือวัคซีนที่ประกอบด้วยแอนติเจนจากเชื้อโรคมากกว่าหนึ่งชนิดภายในวัคซีนเดียว เพื่อให้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของสัตว์น้ำให้ต่อต้านโรคได้หลายชนิดพร้อมกัน ทั้งนี้จะช่วยลดจำนวนครั้งในการให้วัคซีน ประหยัดต้นทุน และลดความเครียดที่เกิดจากการจับปลาไปฉีดวัคซีนหลายครั้ง โดยวัคซีน multivalent เหมาะสำหรับการใช้ในฟาร์มขนาดใหญ่ที่ต้องการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพในขั้นตอนเดียว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาวัคซีนชนิดนี้ต้องคำนึงถึงความเข้ากันได้ของแอนติเจนแต่ละชนิด และประสิทธิภาพของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันไม่ให้ลดลงเมื่อรวมกันอยู่ในสูตรเดียว เราก็มีแผนในการพัฒนาเป็นวัคซีนแบบรวมหลายโรคในอนาคตอยู่ครับ



ต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติมจากหน่วยงานใดบ้าง เพื่อให้วัคซีนนี้สามารถใช้งานได้อย่างแพร่หลาย?
      เพื่อให้วัคซีนป้องกันโรคสเตรปโตคอคโคซีส ในปลานิลสามารถนำไปใช้ได้อย่างแพร่หลาย และเกิดผลจริงในภาคการผลิต จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากหลายภาคส่วน ดังนี้:
ภาครัฐ เช่น กรมประมง และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรเข้ามามีบทบาทในการขึ้นทะเบียนวัคซีน การควบคุมมาตรฐาน และการสนับสนุนให้ฟาร์มนำไปใช้อย่างถูกต้อง
หน่วยงานวิจัยและแหล่งทุน เช่น วช., สกสว., สวก. หรือ สวทช. ควรสนับสนุนด้านงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาต่อยอดสู่ระดับการผลิตเชิงพาณิชย์ และขยายผลการใช้วัคซีนในระดับประเทศ
ภาคเอกชน โดยเฉพาะบริษัทผลิตวัคซีนหรืออาหารสัตว์น้ำ มีบทบาทสำคัญในการนำเทคโนโลยีจากงานวิจัยไปสู่การผลิตจริง และจัดจำหน่ายในราคาที่เหมาะสมกับเกษตรกร
สถาบันการศึกษาและวิจัย ควรดำเนินการอบรม ถ่ายทอดองค์ความรู้ และติดตามผลหลังการใช้วัคซีนในฟาร์ม เพื่อนำไปปรับปรุงให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปลา มีบทบาทในฐานะผู้ใช้งานจริง ควรได้รับการมีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนทดลองภาคสนาม พร้อมให้ข้อมูลสะท้อนกลับเพื่อปรับปรุงการใช้วัคซีนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
หากทุกภาคส่วนสามารถร่วมมือกันได้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้วัคซีนนี้ถูกนำไปใช้ในวงกว้างอย่างยั่งยืน และลดการพึ่งพายาปฏิชีวนะในอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลาได้อย่างแท้จริง.

ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่
รศ.ดร.เอกพล วังคะฮาต อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีการเกษตร สาขาประมง คณะเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 
เบอร์โทรศัพท์ 043 754085 / 043 754086
หรือกองประชาสัมพันธ์และกิจการต่างประเทศฯ
เบอร์โทรศัพท์ 043 754315

Author

ผู้เรียบเรียง : สินีนาฎ พรั่งพร้อมกุล
Email : [email protected]
หมายเลขติดต่อภายใน : 0-4375-4315 (ภายใน) 1722

ภาพประกอบบทความ

  :   สินีนาฎ พรั่งพร้อมกุล/กราฟิก:คุณปิยะฉัตร ธนภัทรธุวานันท์/ภาพ นายวีระชน ขุนนอก และทีมโทรทัศน์

Related Posts