จากความชอบดูหนังตั้งแต่เล็กของเด็กคนหนึ่ง ผลักดันให้เขาได้ออกมาไล่ล่าความฝันของตัวเองที่จะเป็นผู้กำกับหนังมือโปร โดยเลือกเดินตามความฝันเลือกเรียน “เอกภาพยนตร์ ภาควิชานิเทศศาตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม” เพื่อพัฒนาตัวเอง ตั้งใจผลิตผลงานคุณภาพมากมายและคว้ารางวัลมาการันตีจากเวทีการประกวดมาแล้วหลายเวที วันนี้ MSU Online จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับเขาคนนี้ ตามเรามาเลยค่ะ
แนะนำตัวเอง
นายภัทรวิชญ์ ภัทรวัฒน์กุล ชื่อเล่น ยีนส์ อายุ 22 ปี ชั้นปีที่ 4 เอกภาพยนตร์ ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ ครับ
เพื่อนๆ เรียกคำฝอยครับ เพราะช่วงวัยเด็กเราพูดเก่ง ผมเป็นคนสบายๆ รักความสะอาด ตรงเวลา และเวลาได้ลงมือทำอะไรสักอย่างจะต้องทำให้สำเร็จ ไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคา ชอบทำหนังแอ็คชั่นเชิงใช้สมอง มีการวางแผนครับ เพราะมันสามารถกระตุ้นอารมณ์ร่วมของคนดูได้ง่าย
จุดเริ่มต้นของการเดินทางสายภาพยนตร์
ต้องขอบคุณทางครอบครัวผมเพราะครอบครัวเราชอบดูหนัง ชอบสะสมหนังมาก เราก็เลยซึมซับมาตั้งแต่เด็ก และทางบ้านก็สนับสนุนด้วย เมื่อผมเริ่มโตขึ้นก็เริ่มอยากรู้กระบวนการ เบื้องหลังการทำงานมากขึ้น เล่าเรื่องยังไงถึงจะสนุก หนังกับละครต่างกันอย่างไร เนื่องจากความสงสัยของเราก็เลยมีโอกาสได้ลองถ่ายทำหนังเล่นๆ กับเพื่อนลงช่องยูทูปของตัวเอง หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาดูทำให้เรารู้สึกว่าเรามาถูกทางแน่ จึงอยากพัฒนาไปอีกขั้น โดยหามหาลัยที่เปิดสอนด้านภาพยนตร์ก็ได้มาเจอมหาวิทยาลัยมหาสารคามครับ
เสน่ห์การทำหนัง
ด้วยความที่ผมชอบศิลปะมาตั้งตั้งแต่เด็ก ผมอยากถ่ายทอดมันออกมาในรูปแบบที่เป็นนามธรรม ซึ่งภาพยนตร์ก็เป็นศิลปะแขนงที่ 7 ผมมองว่าเป็นสื่อแสดงออกถึงศิลปะ ประเพณีวัฒนธรรม สังคมและอื่นๆ ได้ดี อีกอย่างหนึ่งคือ ภาพยนตร์เป็น soft power ด้วย ใช้ในการเผยแพร่วัฒนธรรมทำให้คนในประเทศหรือแต่ต่างประเทศคล้อยตาม รวมถึงสนใจในเนื้อหาที่เราสื่อออกไปผ่านภาพยนตร์ได้ เช่น ในหนังของเกาหลีเราจะเห็นวัฒนธรรมการกินของคนเกาหลีทำให้เราอยากกินตาม และมีการนำเข้าอาหารเกาหลีมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังใดๆเลย
ฝันให้ไกลไปให้ถึง
ผมอยากเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ หรือ ซีรี่ย์ครับ และอยากทำโปรดักชั่นเฮาส์ ผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์ หรือซีรี่ย์ออกมา ซึ่งหลักๆจะทำคอนเทนต์ที่เป็นของไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศ เพราะผมได้มาฝึกงานสายนี้ และได้คลุกคลีและได้รู้จักกับพี่ๆในวงการนี้มากมาย ทำให้เห็นว่าคนงานของเรามีคุณภาพ แต่ยังขาดเเรงสนับสนุนจากหลายภาคส่วนรวมถึงจากภาครัฐด้วย ผมอยากเป็นเหมือนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศไทยเกิดการพัฒนา ผมเลยคาดหวังว่าถ้าได้เป็นโปรดิวเซอร์จะสามารถทำตามความฝันสูงสุดของผมได้
สร้างผลงานมากมายในรั้วเหลืองเทา
ส่วนใหญ่จะทำหนังสั้น พรีเซนเทชั่น และมิวสิกวีดิโอ งานล่าสุดคือหนังสั้น 4 เรื่อง รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับ โดยมีผู้กำกับคือ คุณปัญญา ปิ่นแก้ว จากสหมงคลฟิล์ม ของ กอ.รมน. ผลงานที่รู้สึกภูมิใจที่สุดคือ หนังสั้นโฆษณา “อ้าวเดือน” โครงการ
ซีพีแรม ได้รางวัลรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้ผมมากๆ ผลงานนี้ถูกนำไปเผยแพร่ในเกือบทุกมหาลัยทั่วประเทศ ทำให้ผมเป็นที่รู้จักมากขึ้น ผลงานอีกหนึ่งชิ้นคือ หนังสั้นในโครงการหนังเมืองแคน ร่วมกันกับจังหวัดขอนแก่นและ สปป.ลาว ส่งดารามาร่วมแสดงหนังสั้นด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงการระดับภาค ของบุคคลทั่วไป และผลงานในโครงการ โตโยต้า ถนนสีขาว ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปเสนอผลงานให้บริษัทใหญ่ที่ญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนอะไรมากมายด้วยกัน เพื่อเราจะได้นำมาพัฒนาตัวเองต่อไปครับ
ตามหาสิ่งที่ใช่ ตรงใจสิ่งที่ชอบ "เอกภาพยนตร์ มมส" คือคำตอบ
ผมตัดสินใจเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพราะผมเห็นว่าที่นี่มีวัตถุดิบที่ดี ซึ่งมันไม่ได้มีทุกที่นะครับ เช่น ถ้าเปรียบวัตถุดิบนี้เป็นคอนเทนต์ ซึ่งในแต่ละที่จะมีวัตถุดิบนี้ต่างกัน ในมหาสารคามก็เช่นกัน ตั้งแต่ที่ผมได้มาเรียนที่นี่ทำให้เห็นว่าเราได้คอนเทนต์ที่แปลกใหม่ หลากหลาย และมีวัตถุดิบเยอะมาก เป็นจุดเเข็งของที่นี่เลย และตอบโจทย์ของนักศึกษาได้ด้วย เป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกเรียนที่นี่ครับ
"เอกภาพยนตร์ มมส" เป็นอะไรได้มากกว่าที่คิด
ที่นี่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ เพราะที่นี่มีอะไรให้เรานำไปใช้ทำคอนเทนต์ได้เยอะมาก ทำให้เราได้ฝึกฝีมือได้ดี ก็มีบ้างที่บางอย่างทางมหาลัยไม่มีให้เราต้องหมั่นแสวงหาความรู้เพิ่มเติมด้วย ซึ่งผมก็อยากฝากถึงน้องใหม่ๆ ด้วยว่าการที่เราคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ก็ยังมีคนที่เก่งกว่าเราอีกเยอะ สิ่งแรกที่เราควรทำคือ เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ และจะต้องหมั่นฝึกฝน เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อให้เราได้มาซึ่งการพัฒนาตัวเองและคอนเนคชั่นที่หลากหลาย
ความประทับใจที่สุดในรั้ว เหลืองเทา มมส แดนงาม
คงจะเป็นเรื่องของสังคมครับ ด้วยความที่ผมเป็นคนอีสาน และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยในภาคอีสานทำให้ผมไม่ต้องปรับตัวยาก สามารถใช้ชีวิตปกติได้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน อีกทั้งพี่น้อง เพื่อน อาจารย์ทั้งหลายก็มีความเป็นกันเองมาก สามารถปรึกษา หารือ พูดคุยกันได้สบายๆ ในทุกๆเรื่อง ซึ่งผมมองว่าปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เราเรียนหรือการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขก็คือสังคมรอบตัว และก็ขึ้นอยู่กับการวางตัวของเราด้วยถ้าวางตัวในสถานการณ์ต่างๆไม่เป็น ปรับตัวให้อยู่ในสังคมไม่ได้ ก็จะทำให้เราไม่ม่ีความสุข สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ยุ่งยากและไม่เร่งรีบครับ
อยากจะแนะนำน้องๆ ที่จะเข้ามาเรียน มมส.
อยากจะแนะนำว่าให้หมั่นหาความรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน เพราะมหาลัยเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราจะใช้พัฒนาศักยภาพตนเอง การหาคอนเนกชั่นเยอะๆ มันจะช่วยในการทำงานของเราได้อย่างดี การควบคุมตัวเอง เนื่องจากชีวิตในรั้วมหาลัยจะปล่อยให้คุณมีอิสระมากกว่ามัธยม และหาเป้าหมายชีวิตของเราให้เจอ แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้เจออย่างทันทีทันใด ในระหว่างเรียนนี้ก็อยากแนะนำให้ลองหากิจกรรมต่างๆทำ เพราะจะได้รู้ว่าเราชอบอะไร หรือเห็นเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจนขึ้น และอาจช่วยให้ชีวิตในมหาลัยของเรามีความสุขได้
คติประจำใจที่เราใช้บ่อยๆ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เราต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น
อย่าหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า คือ เราไม่จำเป็นต้องรอความหวัง หรือความช่วยเหลือจากคนอื่นจนเกินไป เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจหรือช่วยเหลือเราได้มากแค่ไหน สองอย่างนี้เป็นคติที่ใช้ในชีวิตประจำวันบ่อยมาก ที่สำคัญเราต้องเข้มแข็ง
- เรื่องโดย : นิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพ น.ส.กัญญาภัทร ยะปะภา ชั้นปีที่ 4 เอกวารสารศาสตร์ ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะวิทยาการสารสนเทศ