ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) มาประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในชุมชนชนบทที่มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและบุคลากรทางการแพทย์ การพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือที่ผสานเทคโนโลยี GIS สำหรับอาสาสมัครสุขภาพประจำหมู่บ้าน (อสม.) จึงเป็นโอกาสที่สำคัญในการช่วยดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีความต้องการด้านสุขภาพเฉพาะแอปพลิเคชัน สามารถช่วยในการเก็บข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุในพื้นที่ บริหารจัดการการให้บริการ และติดตามสถานะสุขภาพแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ GIS ยังช่วยให้อสม.สามารถกำหนดเส้นทางการเยี่ยมบ้านที่เหมาะสม และระบุพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพในชุมชนได้อย่างแม่นยำ ภายใต้งานวิจัยของ รองศาสตราจารย์ ดร.นิรุวรรณ เทิร์นโบล์ อาจารย์ประจำหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาเทคโนโลยีทางสุขภาพและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พร้อมทีมวิจัย
เกี่ยวกับงานวิจัย
1. ชื่อโครงการ โครงการพัฒนาแอปพลิเคชันระบบฐานข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ของ เครือข่าย กลุ่มผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
ทีมผู้รับผิดชอบงานวิจัย
- รองศาสตราจารย์ ดร.นิรุวรรณ เทิร์นโบล์ หัวหน้าโครงการ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ราณี วงศ์คงเดช กรรมการ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิศิษฎ์ ทองคำ กรรมการ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กู้เกียรติ ทุดปอ กรรมการ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธัญญรัตน์ ไชยคราม กรรมการ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.อดิศร วงศ์คงเดช กรรมการ
- อาจารย์ ดร.นิจฉรา ทูลธรรม กรรมการ - อาจารย์ วรวิทย์ จิตรสุขขา กรรมการ - ดร.สงัด เชื้อลิ้นฟ้า กรรมการ
- ดร.ณัฏฐ์ชานันท์ กมลฤกษ์ กรรมการ
- นายฤชากร คงมั่น ผู้ช่วยนักวิจัย
กล่าวถึงที่มาของงานวิจัย
งานวิจัย “โครงการพัฒนาแอปพลิเคชันระบบฐานข้อมูลสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ของเครือข่าย กลุ่มผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม เป็นโครงการย่อยที่ 4 ของโครงการ ใหญ่ เรื่อง การพัฒนาศักยภาพผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาวในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคามที่ ประกอบด้วยโครงการย่อย 4 โครงการคือ
- โครงการย่อยที่ 1 การศึกษาบริบท และศักยภาพการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงในกลุ่มผู้ ช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (LTC) ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
- โครงการย่อยที่ 2 การพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง และศักยภาพผู้ช่วยเหลือ ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (LTC) ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
- โครงการย่อยที่ 3 การพัฒนานโยบายสาธารณะที่เกี่ยวกับระบบการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ระยะยาว (Long term care) และการพัฒนาผู้ดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (Caregivers) ในเขตพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม
- และโครงการนี้ คือ โครงการย่อยที่ 4 การพัฒนาฐานแอปพลิเคชั่นฐานข้อมูลสารสนเทศทาง ภูมิศาสตร์ของเครือข่ายกลุ่มผู้ช่วยเหลือดูแลในผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว (LTC) ในเขต พื้นที่จังหวัดมหาสารคาม งานวิจัยนี้มีที่มาจากความต้องการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนชนบทในจังหวัดมหาสารคาม โดยใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ และการบูรณาการความร่วมมือจากหลากหลายหน่วยงาน เป้าหมายสำคัญ คือการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง และสร้างระบบที่สามารถสนับสนุนการทำงานใน ระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน
ที่มาและความสำคัญดังนี้:
1. การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) : งานวิจัยได้รับการ สนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุข ภาวะชุมชน (สำนัก 3) เพื่อส่งเสริมสุขภาพและการดูแลระยะยาวในชุมชนชนบท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของการพัฒนาสุขภาพชุมชนในระดับพื้นที่
2. การดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน งานวิจัยนี้ดำเนินการหลักโดย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์คณะศึกษาศาสตร์ร่วมกับเครือข่ายหน่วยงานภายนอกมหาวิทยาลัย เช่น สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี
3. การดำเนินงานเป็นความร่วมมือแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งการพัฒนาระบบสุขภาพ และการสร้างองค์ความรู้
4. วัตถุประสงค์ของงานวิจัย
งานวิจัยมีวัตถุประสงค์ 3 ประการสำคัญ
1) จัดทำข้อมูลตำแหน่งที่พักอาศัย ของผู้ช่วยเหลือดูแล และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ร่วม เครือข่ายของจังหวัดมหาสารคาม เพื่อสร้างความแม่นยำในการวางแผนการดูแล
2) พัฒนาแอปพลิเคชันระบบฐานข้อมูล โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) สำหรับสนับสนุนงานของผู้ช่วยเหลือดูแลในชุมชน ผ่านสมาร์ทโฟน
3) ประเมินผลการพัฒนาแอปพลิเคชัน เพื่อวัดประสิทธิภาพการใช้งานจริง และปรับปรุงระบบ ให้เหมาะสมกับการใช้งานในพื้นที่
พื้นที่และกลุ่มเป้าหมาย
งานวิจัยครอบคลุมพื้นที่ 32 ตำบล ในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งประกอบด้วย: o องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเขตเมือง กึ่งเมือง และชนบท o หน่วยบริการสาธารณสุข 36 แห่ง ที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ
กระบวนการวิจัยตามกรอบ ADDIE Model : งานวิจัยนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development) ตามกรอบ ADDIE Model ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน
1) ระยะการวิเคราะห์ (Analysis Phase): ศึกษาปัญหา และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
2) ระยะการออกแบบ (Design Phase): วางโครงสร้าง และระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ
3) ระยะการพัฒนา (Development Phase): สร้าง และปรับปรุงระบบฐานข้อมูล
4) ระยะทดลองใช้ (Implementation Phase): ทดสอบระบบในพื้นที่จริงกับผู้ช่วยเหลือดูแล
5) ระยะการประเมินผล (Evaluation Phase): วัดประสิทธิภาพ และความพึงพอใจของระบบ
อยากให้พูดถึงความโดดเด่นของงานวิจัย
ความโดดเด่นของงานวิจัยนี้คือการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพในพื้นที่ชนบท อย่างเป็นระบบและยั่งยืน รวมถึงการสร้างความร่วมมือในระดับชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแล ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง มีความโดดเด่นในหลายมิติ ดังนี้
1) การใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อการดูแลสุขภาพ : งานวิจัยได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) มาใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน “SMART Caregiver” ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ตำแหน่งบ้านของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง และผู้ช่วยเหลือดูแลได้อย่าง แม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตาม และวางแผนการดูแลสุขภาพในชุมชน
2) การแก้ปัญหาสุขภาพในชุมชนชนบทอย่างตรงจุด : งานวิจัยมุ่งพัฒนาระบบที่
ตอบสนองต่อปัญหา สุขภาพในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งมีประชากรผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวนมาก และขาดแคลนทรัพยากรด้านสุขภาพ ระบบนี้ช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ของผู้สูงอายุในพื้นที่ห่างไกล
3) การบูรณาการระบบสุขภาพในระดับชุมชน : แอปพลิเคชันนี้เชื่อมโยง
ข้อมูลระหว่างหน่วยงานใน ชุมชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และผู้ ช่วยเหลือดูแลในพื้นที่ ทำให้เกิดความร่วมมือแบบบูรณาการ ช่วยเพิ่มความต่อเนื่องในการดูแลผู้ที่มี ภาวะพึ่งพิง
4) ความง่ายต่อการใช้งาน : แอปพลิเคชันถูกออกแบบมาให้เหมาะสมกับผู้ช่วยเหลือดูแลในชุมชน ซึ่ง ส่วนใหญ่อาจไม่ได้มีพื้นฐานด้านเทคโนโลยีมากนัก การออกแบบที่เรียบง่าย และฟังก์ชันที่ชัดเจนช่วย ให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ และใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
5) การพัฒนาระบบตามกรอบ ADDIE Model : กระบวนการวิจัยใช้กรอบการพัฒนา ADDIE Model ที่ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน (การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การทดลองใช้ และการ ประเมินผล) ทำให้ระบบที่พัฒนามีความรอบคอบ และสามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้ อย่างตรงจุด
6) ประโยชน์ที่วัดผลได้จริง: หลังการทดลองใช้แอปพลิเคชันพบว่า:
- ผู้ช่วยเหลือดูแลสามารถลดเวลาการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบช่วยเพิ่มความแม่นยำในการติดตามข้อมูลสุขภาพ
- ผู้ใช้ส่วนใหญ่ประเมินแอปพลิเคชันในระดับ “ดีมาก” ทั้งด้านคุณภาพและความพึงพอใจ (คะแนนเฉลี่ย 4.11 และ 4.00 จาก 5 ตามลำดับ)
7) การตอบสนองนโยบายระดับประเทศ: งานวิจัยนี้สอดคล้องกับนโยบายของ
กระทรวงสาธารณสุขที่ มุ่งเน้นการดูแลผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นกลุ่ม ประชากรที่มีความเปราะบางด้านสุขภาพ
ความพิเศษของงานวิจัยเป็นอย่างไร
งานวิจัยนี้จึงมีความโดดเด่นในด้านการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุใน ชุมชนชนบทได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ โดยเน้น
1) การบูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) กับระบบสุขภาพ:งานวิจัยนี้นำ เทคโนโลยีสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) มาผสมผสานกับระบบการดูแลสุขภาพในชุมชนชนบท เพื่อสร้าง แอปพลิเคชัน “SMART Caregiver” ที่ช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ตำแหน่งที่พักอาศัยของผู้มี ภาวะพึ่งพิง และผู้ช่วยเหลือดูแลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการสุขภาพในพื้นที่ห่างไกล
2) การตอบสนองความต้องการเฉพาะของชุมชน: งานวิจัยเน้นการออกแบบ และพัฒนาระบบ ฐานข้อมูลที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของชุมชนชนบทในจังหวัดมหาสารคาม โดยมุ่งแก้ไขปัญหาด้านการ ขาดแคลนทรัพยากรและการประสานงานในระบบการดูแลสุขภาพระยะยาว (LTC)
3) การสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานจริง: โครงการนี้มีการพัฒนาร่วมกับกลุ่มผู้ช่วยเหลือดูแล (Caregivers) และหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ 32 ตำบล ครอบคลุม 36 หน่วยบริการสุขภาพ ซึ่งช่วยให้ ระบบที่พัฒนาขึ้นตอบโจทย์การใช้งานจริงของผู้ใช้งานในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงพัฒนา (R&D): งานวิจัยนี้ใช้กระบวนการวิจัยตามกรอบ ADDIE Model ซึ่งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การวิเคราะห์ ออกแบบ พัฒนา ทดลองใช้ และประเมินผล ทำให้ระบบที่พัฒนามีความรอบคอบ และผ่านการปรับปรุงตามผลการทดลองใช้จริงในพื้นที่
5) ประโยชน์จากการวิจัยที่ได้รับ: การพัฒนาแอปพลิเคชันช่วยลดภาระงานของผู้ช่วยเหลือดูแล และผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาว, สนับสนุนการตัดสินใจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนา สุขภาพชุมชน และเพิ่มความแม่นยำในการติดตามผู้มีภาวะพึ่งพิง และวางแผนการดูแลรายบุคคลอย่าง เหมาะสม
ทำไมถึงออกแบบแอพพลิเคชั่นมือถือที่ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์สําหรับการดูแลสุขภาพใน ผู้สูงอายุในชุมชนชนบท
การออกแบบแอพพลิเคชั่นนี้เกิดจากความต้องการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่ สามารถช่วยกลุ่มผู้ช่วยเหลือดูแล (Caregiver) และผู้จัดการระบบการดูแลระยะยาว (Care Manager) ให้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีจำนวนผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะ พึ่งพิงจำนวนมาก โดยวัตถุประสงค์หลักคือ:
1) การพัฒนาและปรับปรุงการดูแลสุขภาพในระยะยาว (LTC): จังหวัดมหาสารคามมีจำนวนผู้สูงอายุ ร้อยละ 18.76 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ และมีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวนมาก การใช้ระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์ช่วยในการติดตามตำแหน่งที่อยู่ของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงและผู้ช่วยเหลือดูแลได้อย่าง แม่นยำ ลดปัญหาการจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจาย
2) การเพิ่มประสิทธิภาพการท างาน: แอพพลิเคชั่นนี้มีฟังก์ชันการทำงานสำคัญ เช่น การประเมิน สุขภาพ การคัดกรองโรคซึมเศร้า และการแสดงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผู้ป่วยในพื้นที่ร่วมเครือข่าย ซึ่ง ช่วยลดเวลาการทำงานของผู้ช่วยเหลือดูแล และช่วยเพิ่มคุณภาพของข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจ
3) ตอบสนองนโยบายการกระจายสุขภาพ: โครงการนี้สนับสนุนนโยบายกระทรวงสาธารณสุขที่มุ่งเน้น การพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพในระดับชุมชน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยลดช่องว่างในการ เข้าถึงบริการสุขภาพระหว่างเขตเมือง และชนบท
4) การสนับสนุนการท างานแบบบูรณาการ: ระบบนี้ช่วยให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หน่วยบริการสาธารณสุข และชุมชน เพื่อให้บริการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม และยั่งยืนใน ระยะยาว ขั้นตอนในการใช้แอพพลิเคชั้นมีการใช้งานอย่างไร
แอปพลิเคชัน “SMART Caregiver” ได้รับการออกแบบให้มีฟังก์ชันการใช้งานที่ครอบคลุมเพื่อ ตอบสนองความต้องการของผู้ช่วยเหลือดูแล และผู้จัดการระบบการดูแลในชุมชน โดยมีขั้นตอนการใช้งานดังนี้:
การเข้าสู่ระบบ (Login)
• ผู้ใช้งานดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่าน QR Code หรือช่องทางที่กำหนด
• เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ได้รับจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น หน่วยบริการสาธารณสุข หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
• การทำงานของระบบตามรายละเอียด ดังรูปด้านล่าง
แอปพลิเคชันจะมีเมนูหลัก ทำงานอยู่ 4 เมนูประกอบด้วย
1) เมนูแบบประเมินสุขภาพ
2) เมนูสาระสุขภาพ
3) เมนูการออกเยี่ยมบ้าน
4) เมนูการคัดกรองสุขภาพ
การบันทึก และติดตามข้อมูลสุขภาพ ด้วยเมนูประเมินสุขภาพ
• เมนูประเมินสุขภาพ: ผู้ช่วยเหลือดูแลสามารถกรอกข้อมูลสุขภาพของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น การวัดความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และการประเมินภาวะหกล้ม โดยใช้แบบฟอร์มที่ แสดงในแอปพลิเคชัน
• เมนูแผนการดูแล: ระบบจะแสดงแผนการดูแลเฉพาะบุคคลที่ผู้จัดการระบบได้จัดทำไว้ ล่วงหน้า ผู้ช่วยเหลือดูแลสามารถทำตามแผน และบันทึกผลการดำเนินงานในแอปพลิเคชัน
การออกเยี่ยมบ้าน (Home Visit)
• ผู้ช่วยเหลือดูแลสามารถใช้ฟังก์ชันแผนที่ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่พักของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงใน พื้นที่
• เมื่อไปถึงที่พัก สามารถทำการบันทึกผลการเยี่ยมบ้าน เช่น ข้อมูลสุขภาพ การประเมิน สภาพแวดล้อม และความต้องการเพิ่มเติม
การคัดกรองโรคและปัญหาสุขภาพ
• แอปพลิเคชันมีแบบประเมินสำหรับการคัดกรองโรค เช่น โรคซึมเศร้า (2Q และ 9Q) เพื่อ ระบุผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลเพิ่มเติมหรือส่งต่อ
การติดตามผลแบบเรียลไทม์
• ผู้จัดการระบบสามารถดูข้อมูลที่บันทึกโดยผู้ช่วยเหลือดูแลได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบ สารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และตรวจสอบความก้าวหน้าของการดูแลได้ทันที
การสร้างรายงาน และการวางแผนการดูแล
• แอปพลิเคชันช่วยสร้างรายงานสรุปข้อมูล เช่น สถานะสุขภาพของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง และสภาพแวดล้อมที่พักอาศัย เพื่อสนับสนุนการวางแผนการดูแลในอนาคต
การสนับสนุนข้อมูลเพื่อการพัฒนา (Data-driven Decision)
• แอปพลิเคชันสามารถรวบรวมข้อมูลทั้งหมด เพื่อใช้ในการวิเคราะห์สำหรับการพัฒนาระบบการดูแลในระยะยาว โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่
ปัจจุบันมีการนำงานวิจัยไปทดลองใช้แล้วหรือไม่ อย่างไร
งานวิจัยนี้ได้นำไปทดลองใช้จริงในพื้นที่ร่วมเครือข่ายในจังหวัดมหาสารคาม ได้มีการนำไปทดลองใช้จริงใน พื้นที่จังหวัดมหาสารคาม โดยเน้นการบูรณาการระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ และการสนับสนุนการทำงานของผู้ ช่วยเหลือดูแล การทดลองใช้พบว่าระบบสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดภาระงานของผู้ช่วยเหลือ ดูแลได้อย่างเป็นรูปธรรม ของการทดลองใช้ระบบฐานข้อมูลสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) นำไปทดลองใช้ใน 32 ตำบล ครอบคลุม 371 หมู่บ้าน และมีผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 2,472 คน ซึ่งผู้ช่วยเหลือดูแลจำนวน 340 คน คิดเป็นร้อยละ 66.54 ของกลุ่มเป้าหมาย ได้รับการฝึกอบรม และทดลองใช้ระบบ
ปัญหา และอุปสรรคในการทางานอยน่างไรบ้าง
ปัญหา และอุปสรรคในการใช้งานแอปพลิเคชัน
- ค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบฐานข้อมูล: การใช้งานแอปพลิเคชัน “SMART Caregiver” จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์ และการปรับปรุงระบบฐานข้อมูลอย่างต่อเนื่อง แต่หน่วยงาน ในระดับชุมชน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และโรงพยาบาลชุมชน ยังไม่ได้จัดสรร งบประมาณเฉพาะด้านนี้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการใช้งานระบบ
- การขาดบุคลากรไอที:การปรับปรุง และอัปเดตระบบจำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ชนบทยังขาด แคลนบุคลากรดังกล่าว ส่งผลให้การบำรุงรักษาระบบล่าช้า หรือหยุดชะงัก
- ความพร้อมของงบประมาณในระดับชุมชน: หน่วยงานในระดับท้องถิ่น เช่น องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (อปท.) และ รพ.สต. มักพึ่งพางบประมาณจากส่วนกลาง การขาดแผนงานสนับสนุนงบประมาณ อย่างชัดเจนทำให้การดำเนินงานขาดความยั่งยืน และในบางกรณีอาจต้องระงับการใช้งานแอปพลิเคชัน
- ความท้าทายด้านการยอมรับเทคโนโลยี:ผู้ช่วยเหลือดูแลบางกลุ่มยังขาดความมั่นใจ และทักษะ ในการใช้งานเทคโนโลยี ส่งผลต่อการนำแอปพลิเคชันไปใช้จริงในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การพึ่งพาเครือข่ายอินเทอร์เน็ต:การใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจเป็น ข้อจำกัดในพื้นที่ชนบทที่มีสัญญาณไม่ครอบคลุม ส่งผลต่อการบันทึก และอัปโหลดข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูล
อาจารย์คิดว่าเราจะสามารถนำงานวิจัยลงสู่ชุมชนได้อย่างไรบ้าง
การนำงานวิจัยลงสู่ชุมชนต้องใช้การวางแผนอย่างรอบคอบ การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และการสนับสนุน อย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพที่ยั่งยืน และตอบสนองต่อความ ต้องการของชุมชนได้อย่างแท้จริง การนำงานวิจัย เช่น แอปพลิเคชัน “SMART Caregiver” ไปใช้ในชุมชน ต้องอาศัยกลยุทธ์ และขั้นตอนที่ครอบคลุม โดยสามารถดำเนินการได้ดังนี้:
การสร้างความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของชุมชน
• ประชาสัมพันธ์: จัดกิจกรรมให้ข้อมูลแก่ชุมชนเกี่ยวกับความสำคัญของระบบการดูแล สุขภาพระยะยาวและแอปพลิเคชัน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และแรงจูงใจในการใช้งาน
• การมีส่วนร่วม: เชิญผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และบุคลากร สาธารณสุขในพื้นที่เข้าร่วมวางแผนการใช้ระบบร่วมกัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ
การฝึกอบรม และพัฒนาศักยภาพบุคลากร
• การอบรมผู้ช่วยเหลือดูแล: จัดฝึกอบรมการใช้งานแอปพลิเคชันแก่ผู้ช่วยเหลือดูแล และ ผู้จัดการระบบในพื้นที่ โดยเน้นการปฏิบัติจริง
• การสนับสนุนทางเทคนิค: สร้างทีมสนับสนุนด้านไอทีในพื้นที่ หรือประสานงานกับ หน่วยงานที่เชี่ยวชาญเพื่อให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาในระหว่างการใช้งาน
การน าร่องในพื้นที่ตัวอย่าง
• การทดลองใช้ในพื้นที่เล็ก: เริ่มต้นทดลองใช้แอปพลิเคชันในพื้นที่นำร่องที่มีความพร้อม เช่น ตำบลที่มีผู้ช่วยเหลือดูแลเพียงพอ และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ต
• การประเมินผล: เก็บข้อมูลผลการใช้งาน เช่น ประสิทธิภาพในการปรับปรุงการดูแล สุขภาพ และข้อเสนอแนะจากผู้ใช้งานจริง เพื่อปรับปรุงระบบก่อนการขยายผล
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
• การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน: ขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณและ ทรัพยากรจากหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน
• ความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา: ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่เพื่อพัฒนาระบบ และการวิจัยต่อเนื่อง
การพัฒนาระบบที่ยั่งยืน
• ปรับระบบให้เหมาะสมกับชุมชน: ออกแบบแอปพลิเคชันให้สามารถใช้งานได้ง่ายและ สอดคล้องกับบริบทของผู้ช่วยเหลือดูแลในพื้นที่ชนบท
• ระบบสนับสนุนที่ยั่งยืน: จัดตั้งกองทุนหรือกลไกการจัดการงบประมาณ เพื่อดูแลระบบ และการบำรุงรักษาในระยะยาว
การติดตามและประเมินผล
• การวัดผลลัพธ์: ประเมินความสำเร็จของโครงการโดยใช้ตัวชี้วัด เช่น การปรับปรุง คุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง การลดภาระงานของผู้ช่วยเหลือดูแล และความพึงพอใจของ ผู้ใช้งาน
• การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ใช้ผลการประเมินในการพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับความ ต้องการของชุมชนในอนาคต
ฝากอะไรถึงนักวิจัยรุ่นใหม่อย่างไรบ้าง
"นักวิจัยคือผู้สร้างสะพานเชื่อมความรู้สู่การเปลี่ยนแปลง" ขอให้นักวิจัยรุ่นใหม่กล้าคิด กล้าลงมือทำ และกล้าที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม ฝากข้อคิดและคำฝากถึงนักวิจัยรุ่นใหม่ เป็นข้อๆ ดังนี้:
- ยึดมั่นในความมุ่งมั่นและเป้าหมาย: การวิจัยไม่ใช่แค่การหาคำตอบให้กับคำถามทางวิชาการ แต่เป็น การสร้างองค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาและพัฒนาสังคม อย่าย่อท้อแม้เจออุปสรรค และจงมุ่งมั่นในการทำงานที่มีคุณค่า
- เน้นการวิจัยที่มีประโยชน์ต่อชุมชน: งานวิจัยที่ดีไม่ใช่เพียงแค่การตีพิมพ์ในวารสารที่มีชื่อเสียง แต่ ควรสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง โดยเฉพาะในสังคมหรือชุมชนที่ต้องการการพัฒนา
- เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่: เทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา นักวิจัยควรพร้อมที่จะเรียนรู้ และปรับตัว ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่
- ความร่วมมือและการท างานเป็นทีม: การวิจัยที่มีผลกระทบสูงมักเป็นงานที่เกิดจากความร่วมมือ ระหว่างหลากหลายสาขา นักวิจัยควรเปิดรับการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทั้งใน และนอกสายวิชาชีพของตน
- ซื่อสัตย์และรับผิดชอบ: จริยธรรมการวิจัยเป็นสิ่งสำคัญ นักวิจัยควรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ความ โปร่งใส และรับผิดชอบในงานวิจัยของตน เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงในสายงาน
- มองภาพระยะยาว: งานวิจัยอาจไม่ได้เห็นผลสำเร็จในทันที แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวสามารถ สร้างผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ต่อสังคม จงมีวิสัยทัศน์และมองไกลเกินกว่าปัจจุบัน
- พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง: อย่าหยุดที่จะพัฒนาทักษะ ทั้งในด้านการทำวิจัย การสื่อสาร และการ บริหารจัดการ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
- ส่งต่อความรู้ให้คนรุ่นหลัง: หน้าที่ของนักวิจัยไม่ใช่แค่การสร้างองค์ความรู้ แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้ให้ คำปรึกษาและแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลัง ให้พวกเขาได้มีโอกาสต่อยอดงานวิจัยและสร้างคุณค่าใหม่ๆ
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ไหน
- หัวหน้าโครงการ: รองศาสตราจารย์ ดร.นิรวุรรณ เทิร์นโบล์ หน่วยงาน: ศูนย์วิจัยเฉพาะทาง ด้านนโยบายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้
(Public Health and Environmental Policy in Southeast Asia: research Cluster) คณะ สาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อีเมล: [email protected] เบอร์โทรศัพท์: 0934593549