ในโลกที่ความสำเร็จไม่มาเพียงแค่ความสามารถ แต่มาจากการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้จากความผิดพลาด พงศพัศ พันโน นิสิตชั้นปีที่ 3 จากสาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนานาชาติ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความพยายามและการเตรียมตัวอย่างมีระเบียบคือกุญแจสำคัญในการเข้าถึงความสำเร็จ ไม่เพียงแค่ในเวทีการประกวด The Thailand Negotiation and Sales Competition 2024 (TNSC 2024) แต่ยังรวมถึงโอกาสในการศึกษาต่อในต่างประเทศ ผ่านการสนับสนุนจากอาจารย์ที่ปรึกษาและการมีประสบการณ์ในการทำกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเตรียมตัวสู่อนาคตที่กว้างไกล มาร่วมติดตามเรื่องราวของการเดินทางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจของเขา ในบทสัมภาษณ์นี้กันค่ะ
แนะนำตัว
สวัสดีค่ะชื่อ พงศพัศ พันโน นะคะ ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 สาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนานาชาติ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคามค่ะ
รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการแข่งขัน TNSC! รู้สึกอย่างไรกับความสำเร็จในครั้งนี้?
สำหรับการแข่งขัน The Thailand Negotiation and Sales Competition 2024 (TNSC 2024) ในครั้งนี้ รู้สึกดีใจแล้วก็รู้สึกขอบคุณเพราะว่าส่วนตัวเองไม่ได้คาดหวังในการแข่งขันครั้งนี้ เพราะคิดว่าตัวเองไม่น่าจะสามารถทำสำเร็จได้อย่างไรก็ตาม ขอบคุณอาจารย์ในสำนักศึกษาทั่วไปที่ให้การสนับสนุนและให้คำแนะนำในการแข่งขันมาโดยตลอด จนประสบความสำเร็จในครั้งนี้ค่ะ
อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขัน TNSC?
แรงบันดาลใจในการแข่งขัน TNSC คือเมื่อปีที่แล้วเคยเข้าร่วมโครงการที่มีลักษณะคล้ายๆ ซึ่งเป็นการเจรจาต่อรอง เพื่อขายสินค้าหรือบริการให้กับบริษัท แต่ในปีที่แล้วไม่สามารถเข้าไปในรอบ final ได้เพราะว่าคิดว่าตัวเองยังขาดประสบการณ์อีกหลายอย่าง ในปีนี้จึงได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดเมื่อปีที่แล้วที่ได้รับ comment และคำแนะนำจากคณะกรรมการมาปรับใช้กับตัวเอง ส่วนตัวหนูเองก็ได้มีโอกาสเห็นการเจรจามามากมายจึงทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับการต่อรองมากยิ่งขึ้นค่ะ
ช่วยเล่าถึงเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันครั้งนี้หน่อยได้ไหม? มีขั้นตอนการฝึกฝนอย่างไรบ้าง?
สำหรับการแข่งขันในครั้งนี้การเตรียมตัวค่อนข้างที่จะสำคัญเพราะว่าเราต้อง ทำเหมือนว่าเราเป็นตัวแทนของบริษัทนึงและต้องการขายสินค้าให้กับอีกบริษัทหนึ่ง ความยากของการแข่งขันในครั้งนี้คือการหาข้อมูลเนื่องจากว่าเราต้องมีความเข้าใจตัวบริษัทของเราก่อนและต้องเข้าใจบริษัทที่จะทำการค้ากับเราตาม นอกจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัทแล้วเรายังต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Vision Mission ของบริษัททั้งยังต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับตัวสินค้าซึ่งมีรายละเอียดที่ค่อนข้างที่จะเฉพาะตัวในแต่ละรายการค่ะ
นอกจากนี้ เราต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือ scenario ที่ได้รับจากศูนย์แข่งขัน คือต้องศึกษาวนไปวนมาจนกว่าจะจำได้ พอเริ่มจำเหตุการณ์ที่เขาให้มา เราก็สามารถคาดเดาหรือจินตนาการเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเจรจาต่อรองขายสินค้าระหว่างบริษัทกับบริษัทได้ พอเริ่มเข้าใจเหตุการณ์หนูก็เริ่มฝึกกับทางอาจารย์และก็ได้รับคำแนะนำจากอาจารย์หลายอย่างมากๆที่หนูไม่เคยเรียนรู้ในห้องเรียน เหมือนกับว่าถ้าเราโดนคำถามแบบนี้เราจะตอบประมาณไหน ซึ่งอาจารย์ได้ให้แนะนำที่จะดีมากๆค่ะ ให้คำแนะนำในทุกๆ ขั้นตอนและมีการซ้อมเป็นคู่ค้ากับหนูด้วย จึงทำให้หนูมีความมั่นใจในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นเพราะว่าอย่างน้อยเราก็ได้ลองฝึกมัน คือบางคำถามหนูเองก็ไม่รู้ว่าหนูจะตอบยังไง แต่พอได้รับคำแนะนำจากอาจารย์หนูก็พอรู้เลยว่าถ้าหากถามแบบนี้หนูควรที่จะตอบแบบไหน ซึ่งค่อนข้างที่จะเป็นประโยชน์มากๆ ค่ะ
การใช้ภาษาอังกฤษในการแข่งขันระดับนานาชาติเป็นความท้าทายมากแค่ไหน และมีวิธีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
ก็ต้องตอบว่าการใช้ภาษาอังกฤษในการแข่งขันเป็นสิ่งที่ยากมากๆ เพราะว่าส่วนตัวเองก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษขนาดนั้นถึงแม้ว่าจะเรียนในสาขาวิชาภาษาอังกฤษแต่การเจรจาต่อรองขายสินค้ามีคำศัพท์ที่ค่อนข้างที่จะเฉพาะตัวในเชิงธุรกิจ จึงมีความยากมากๆ ในการเตรียมตัวครั้งนี้ค่ะ เพราะว่าระหว่างการแข่งขันก็มีหลากหลายคำศัพท์ที่หนูไม่ค่อยเข้าใจเลย แต่หนูก็เดาจากสถานการณ์หรือคำที่เขาพูดมาว่ามันน่าจะเป็นประมาณนี้ก็เลยทำให้เอาตัวรอดมาได้ค่ะ ถามว่าเตรียมตัวยังไง ก็ต้องกลับไปในส่วนเหตุการณ์ที่ทางศูนย์แข่งขันให้มา อย่างที่หนูเกริ่นไปก่อนหน้านี้ค่ะว่าเราก็สามารถคาดเดาหรือจินตนาการเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างการเจรจาต่อรองสินค้าได้ ส่วนตัวหนูเองก็ได้ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตัวอย่าง และมีการสร้างบทสนทนาจำลองขึ้นในในกระดาษว่าถ้าหากหนูโดนคำถามประมาณนี้หนูจะตอบยังไงซึ่งส่วนตัวหนูเองก็เตรียมไว้หลายคำถามมาก จนทำให้ได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆที่มีความสำคัญในการเจรจาต่อรองขายสินค้าค่ะ
ระหว่างการแข่งขัน มีช่วงเวลาไหนที่เรารู้สึกว่าท้าทายที่สุด และสามารถจัดการกับสถานการณ์นั้นอย่างไร?
ช่วงเวลาที่หนูรู้สึกว่าท้าทายมากๆระหว่างการแข่งขันก็คือ ตอนที่เราได้รับคำถามจากคู่ค้าของเราคือเราไม่รู้เลยว่าคู่ค้าของเราจะเจาะจุดอ่อนอะไรของเราบ้างเพื่อให้เราไปต่อไม่ได้ แต่ยังไงก็ตาม การมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวเธอ เป็นหนึ่งสิ่งที่สามารถทำให้หนูเอาชีวิตรอดมาได้จากการแข่งขันเพราะการมีสติจะทำให้หนูสามารถนึกย้อนไปว่าเรามีข้อดีอะไรบ้างที่จะทำให้คู่ค้าของเราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทของเรา
ทักษะที่ได้จากการแข่งขันครั้งนี้มีอะไรบ้างที่คิดว่าสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงหรือการทำงานในอนาคตได้?
ทักษะที่ได้รับจากการแข่งขันครั้งนี้ก็คือทักษะการเจรจาต่อรองนี่แหละค่ะ เพราะเชื่อว่าในอนาคตหากเรามีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ๆเราอาจจะได้มีโอกาสทำหน้าที่เป็นตัวแทนของบริษัทในการเจรจาขายสินค้าของเรา ให้กับบริษัทอื่นๆซึ่งหนูคิดว่าจากการแข่งขันในครั้งนี้หนูได้รับทักษะการเจรจาต่อรองมาเต็มๆทำให้หนูคิดว่าถ้าหากหนูมีโอกาสได้ทำงานกับบริษัทใหญ่ๆในอนาคต หนูก็คงไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการเจรจาต่อรองนี้เพราะว่าอย่างน้อยเราก็เคยมีโอกาสได้ลองทำมันมาก่อน คือหนูเชื่อว่าในชีวิตจริง ลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันก็จะเป็นเช่นเดียวกันกับการทำงานในอนาคตค่ะ
การแข่งขันครั้งนี้เปิดโอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เข้าแข่งขันจากสถาบันต่างๆ เราได้เรียนรู้อะไรจากเพื่อนร่วมแข่งขันบ้าง?
สิ่งหนึ่งที่หนูได้เรียนรู้จากผู้เข้าแข่งขันจากต่างสถาบันก็คือสไตล์ในการเจรจาต่อรองเพราะว่า ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนมีสไตล์การเจรจาต่อรองที่ค่อนข้างที่จะแตกต่างกันมากๆ ทำให้หนูรู้ว่าจริงๆแล้วอาจมีสไตล์การแข่งขันอื่นๆนอกเหนือจากสไตล์ที่หนูใช้และเหมาะสมที่จะใช้กับหนูในการเจรจารอบต่อไป
ในฐานะนิสิตสาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร นานาชาติ เราคิดว่าการเรียนในหลักสูตรนี้ช่วยเสริมทักษะอะไรให้กับเราในการแข่งขันครั้งนี้?
ในฐานะนิสิตหลักสูตรนานาชาติ หนูคิดว่าอย่างแรกที่หลักสูตรช่วยเสริมทักษะของหนู คือ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งกับคนไทยหรือกับทั้งเจ้าของภาษา สาขาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารนานาชาติเน้นการพัฒนาทักษะการสื่อสาร และในหลักสูตรยังมีการเรียนรู้เกี่ยวกับการเจรจาต่อรองด้วย หนูเองก็ได้เรียนจากในหลักสูตรซึ่งเป็นการเจรจาต่อรองที่แตกต่างจากการแข่งขัน แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นสกิลหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากสาขา มากไปกว่านั้นหลักสูตรก็มีการสอนเกี่ยวกับธุรกิจซึ่งเป็นวิชาศึกษาทั้วไป (GE ) หนูรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะสำคัญกับหนูมากๆเพราะหนูได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจเพิ่มมากขึ้นในฐานะบริษัท เพราะว่าส่วนตัวหนูเองก็ต้องบอกเลยว่าไม่ชอบธุรกิจเลยเพราะว่าธุรกิจเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากมากๆ คือกว่าที่คนๆ นึงจะทำธุรกิจประสบความสำเร็จได้มันต้องมีหลากหลายขั้นตอนมากๆค่ะ ซึ่งทำให้หนูอินกับมันมากขึ้นที่จะต้องเป็นตัวแทนในการเจรจาต่อรองสินค้า เพราะว่าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นค่ะ
อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ดีๆ จากการทำกิจกรรมในปี 2024
ปี 2024 เป็นปีที่เต็มไปด้วยความหวัง หวังว่าจะได้มีโอกาสท่องโลกเพิ่มมากขึ้น ส่วนตัวหนูเป็นคนทำกิจกรรมอยู่แล้วเลยได้สมัครขอทุน และได้รับทุนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ที่ภูมิใจมากๆ คือได้รับทุนเต็มจำนวน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม Young Southeast Asian Leaders Initiative 2024 ที่ East West Center (University of Hawaii), University of California, Berkeley ในนามตัวแทนประเทศไทย ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับทุนเต็มจำนวน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม AFMAM Plus Australia 2024 จัดโดย the ASEAN Foundation ที่ สำนักงานเลขาธิการอาเซียน ในนามตัวแทนประเทศไทย ณ ประเทศอินโดนีเซีย ทั้งยังได้รับทุนสนับสนุนเต็มจำนวน เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ASEAN- Australia Young Leaders Forum 2024 (AAYLF) สนับสนุนโดยรัฐบาลออสเตรเลีย ( ASEAN-Australia Strategic Youth Partnership) ในนามตัวแทนประเทศไทย ณ ประเทศเวียดนาม และได้รับทุนเต็มจำนวน เข้าร่วมกิจกรรม Ambassador for a Day 2024 จัดโดย สหประชาชาติ ในประเทศไทย (United Nation in Thailand) ณ กรุงเทพมหานคร
นอกจากนี้หนูยังชอบทำกิจกรรมจิตอาสาซึ่งตอนนี้เป็นหัวหน้าสตาฟให้กับ Mahasarakham University American Corner เป็น FriendAdvisor ให้กับ MSU Homeroom และเป็น Co-Founder ให้กับ Isan Youth Leaders ซึ่งองกรณ์เหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเยาวชนและสร้างการเปลียนแปลงให้กับสังคม อย่างไรก็ตาม หากขาดการสนับสนุนจากอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ดั่งหวัง
สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากฝากถึงเพื่อนนิสิตหรือผู้ที่สนใจเข้าร่วมการแข่งขันในอนาคตบ้าง?
จริงๆแล้ว 1 สิ่งที่หนูอยากจะบอกกับเพื่อนๆหรือนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคามทุกคนก็คือ หนูเชื่อว่าในช่วงปริญญาตรีเป็นช่วงชีวิตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียนรู้จากการทำกิจกรรม เพื่อที่จะทำให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วเราชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ดังนั้นการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนก็สำคัญเพราะเราได้เรียนรู้หลากหลายทักษะที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้เลยจากในห้องเรียนเลย บางคนอาจจะกังวลว่าถ้าหากทำกิจกรรมเยอะจะส่งผลกระทบต่อการเรียนหรือเปล่า จริงๆแล้วมันขึ้นอยู่กับการจัดการของแต่ละคนค่ะ แต่อย่างน้อยก็อยากให้นิสิตทุกคนเปิดใจให้กับการทำกิจกรรมมากขึ้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะนอกจากที่เราจะได้รู้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบอะไรเรายังไม่มีโอกาสรู้จักกับคนใหม่ๆซึ่งอาจจะมีความสำคัญกับชีวิตเราในอนาคตก็ได้ค่ะ