ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็กลายมาเป็นส่วนสำคัญในทุกภาค
ส่วนของสังคม โดยเฉพาะในวงการการศึกษา ซึ่งการเตรียมพร้อมสำหรับนิสิตครูให้มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี และ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อีกทั้งมีความจำเป็นที่เขาเหล่านั้นจะสามารถนำเครื่องมือเหล่านี้ไปใช้ประกอบการผลิตสื่อ การเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย สอดคล้องกับความต้องการของนักเรียนในปัจจุบัน
สำหรับการพัฒนาทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัยและ AI สำหรับนิสิตครูเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ไม่เพียงแต่จะช่วยให้นิสิตครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะเป็นผู้นำทางการศึกษาในอนาคต ที่สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีความหลากหลายและตรงตามความต้องการของนักเรียนแต่ละคนในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ภายใต้การนำของ รองศาสตราจารย์ ดร.รัชนีวรรณ ตั้งภักดี อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในรูปแบบการเรียนสอนเพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัยและ AI สำหรับนิสิตครู
ชื่อโครงการ
• iUp EDU Model: รูปแบบการเรียนสอนเพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัยและ AI สำหรับนิสิตครู
กล่าวถึงที่มาของงานวิจัย
งานวิจัยนี้มีที่มาจากสองประเด็นสำคัญ คือประเด็นแรก งานวิจัยนี้เกิดจากจากความตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานในทุกวงการอาชีพ แม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังมาแรงในปีนี้ วงการศึกษาที่เป็นต้นน้ำแห่งการพัฒนามนุษย์ก็เช่นกัน ที่บุคลากรทางการ ศึกษาไม่ว่าระดับใดก็มีความจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ทักษะเหล่านี้ ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับมอบหมายให้จัดการเรียนการสอนในรายวิชา 0530101 นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารทางการศึกษา ซึ่งเป็นวิชาชีพครูบังคับ ที่นิสิตหลักสูตร กศ.บ. การศึกษาบัณฑิต ทุกคน จาก 11 หลักสูตร 4 คณะ จะต้องเรียนในชั้นปีที่ 1 ซึ่งนิสิตเหล่านี้ คือ ว่าที่ครู หรือ นักการศึกษาในอนาคตที่มีความจำเป็นต้องมีความรู้ และทักษะการใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยและ AI ใน คอร์สเอาท์ไลน์ของรายวิชานี้ จึงกำหนดให้ 5 สัปดาห์หลังสอบกลางภาคเป็นการ Workshop เพื่อติดตั้งความรู้ และทักษะใหม่ๆ ดังกล่าว แต่ไอเดียนี้มีความ เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ จากปัญหามีผู้เรียนจำนวนมาก มีจำนวนอาจารย์ผู้สอนน้อย และยังมีภาระงานมาก จำนวนทรัพยากรน้อย และขาดความพร้อม ทำให้เกิดแนวทางการแก้ปัญหา ดังกล่าว โดยการมีเพิ่มผู้ช่วยสอน แต่ก็ไม่มีงบประมาณในการว่าจ้างผู้ช่วยสอนในจำนวนมากแบบประจำ
ประเด็นที่สอง งานวิจัยนี้เกิดจากความต้องการพัฒนาผู้ช่วยสอนที่ดี ให้ได้จำนวนที่มากในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้บูรณาการกับรายวิชา 0503 343 วิธีวิทยาการสอนคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นรายวิชาบังคับที่ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอน สำหรับที่นิสิตสาขาเทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ศึกษา ชั้นปีที่ 3 โดยตามเงื่อนไขของรายวิชานี้ นิสิตจะต้องสอบปฏิบัติการสอนคอมพิวเตอร์และทำหน้าที่ผู้ช่วยสอนให้ผ่าน ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการผู้ช่วยสอนในรายวิชา 0530101 ของภาควิชาฯ ด้วยทั้งหมดนี้ จึงเป็นที่มาของงานวิจัยที่ผู้วิจัยในฐานะผู้รับผิดชอบในรายวิชา 0503 343 วิธีวิทยาการสอนคอมพิวเตอร์ จะออกแบบการจัดการเรียนการสอนอย่างไร ที่จะสามารถสร้างผู้ช่วยสอนที่มีความสามารถในการสอน และมีพฤติกรรมการเป็นผู้ช่วยสอนที่ดีได้ โดยผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีต่างๆ และพิจารณาร่วมกับบริบทสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ พบว่า แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์ (Experiential Learning) ด้วยการฝึกทักษะการสอนในสถานการณ์จริง และกลยุทธ์การสอนร่วม (Co-teaching strategies) จะช่วยให้นิสิตช่วยสอนมีทักษะที่หลากหลาย และสามารถนำความรู้ ไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในสถานการณ์การสอนจริงได้ จึงเป็นที่มาของการสร้างโมเดลการสอน การทดลองใช้และการศึกษาผลการใช้ iUp EDU Model: รูปแบบการเรียนสอนเพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัยและ AI สำหรับนิสิตครู นี้ขึ้น
ความโดดเด่นของงานวิจัยเป็นอย่างไร
สำหรับความโดดเด่นของงานวิจัยนี้ iUp EDU Model เป็นการใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์(Experiential Learning - EL) ร่วมกับกลยุทธ์การสอนร่วม (Co-teaching strategies) มาสร้างโมเดลการสอน ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ทำให้ผู้เรียนมีโอกาสลงมือทำ คิดวิเคราะห์ และสะท้อนความคิดในกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งส่งผลให้การเรียนรู้มีความลึกซึ้งและยั่งยืนมากขึ้น ส่วนกลยุทธ์การสอนร่วม ทำให้เกิดการแบ่งบทบาทในทีมผู้สอน เช่น มีอาจารย์หลัก ผู้ช่วยสอน และผู้ช่วยของผู้ช่วยสอนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่างกันนั้น ก็ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน การพัฒนาทักษะการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม โดยเฉพาะการช่วยเหลือปลูกปั้นผู้ช่วยสอนที่อาจมีประสบการณ์น้อยผ่านการทำงานร่วมกับอาจารย์ประจำวิชาซึ่งผู้เชี่ยวชาญ กิจกรรม Micro-Teaching และ Teaching Practice ใน iUp EDU Model ที่พัฒนาขึ้นเป็นจุดเด่นสำคัญที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการสอนในสถานการณ์ที่จำลองและสถานการณ์จริง ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการสอน การแก้ไขปัญหา และการรับฟีดแบ็กอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้สอนมีความมั่นใจและเชี่ยวชาญยิ่งขึ้น
iUp EDU Model มีการใช้เทคนิควิธีการสอนที่หลากหลายในแต่ละสัปดาห์ เช่น การสัมภาษณ์ครูประจำการในโรงเรียนจริงๆ (Bingo Interview), การออกแบบแลปคอมพิวเตอร์ (Computer Lab Design), การแบ่งปันความเชี่ยวชาญด้านวิธีการสอน (Expert Sharing) จากรุ่นพี่ที่เป็นครูประจำการและการทบทวนแผนการสอน ทำให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ที่หลากหลายและสามารถเรียนรู้ได้จากหลายมิติ อีกทั้งยังมีการสะท้อนการเรียนรู้ (Reflection) อย่างต่อเนื่องในแต่ละสัปดาห์ ผ่านวงจรการเรียนรู้ (Learning Cycle) ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนตระหนักถึงความก้าวหน้าของตนเองและปรับปรุงการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ iUp EDU Model มีกระบวนการเก็บข้อมูลและประเมินผลการสอนอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนและผู้สอนเห็นภาพรวมของพัฒนาการและสามารถปรับปรุงกระบวนการสอนในอนาคตได้
ความพิเศษของงานวิจัยเป็นอย่างไร
• iUp EDU Model ที่เป็นผลจากการวิจัย สามารถช่วยติดตั้งความรู้และทักษะการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยรวมถึงปัญญาประดิษฐ์ให้นิสิตครูชั้นปีที่1 กว่า 1,000 คน ใน 25 กลุ่มเรียน จาก 11 หลักสูตรการศึกษาบัณฑิตของทั้งมหาวิทยาลัยได้ในหนึ่งภาคเรียน ซึ่งนิสิตจะนำความรู้และทักษะพื้นฐานนี้ไปใช้ในการเรียนในรายวิชาอื่นๆ รวมถึงการทำงานหารายได้พิเศษ และการทำงานในอนาคตได้
• iUp EDU Model มีความเป็นพลวัต (Dynamic) และยืดหยุ่น (Flexible) สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่จะมากำหนดเป็นหัวข้อการสอนใหม่ๆ ได้ทุกปี การสอนใช้เครื่องมือจะมีหัวข้อหลักตรงกันทุกกลุ่มการเรียน แต่การมอบหมายชิ้นงานจะปรับตามบริบทการใช้งานของสาขากลุ่มเรียนนั้นๆ ซึ่งสอดคล้องกับเทคโนโลยีและสมรรถนะของครูที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น หัวข้อหลักในปีนี้ มี 5 เรื่อง สำหรับ 5 สัปดาห์ ได้แก่ (1) AI for Presentation (2) Online Tools ft. AI (3) Generative AI (4) AI for Production และ (5) AI for Website
• iUp EDU Model จะนำไปใช้อย่างประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ความเสียสละ ความอดทนของคณาจารย์อาจารย์ประจำทีมที่ร่วมทำหน้าที่ Coaching, Mentoring และร่วมประเมินให้ Feedback แก่นิสิตในทีม
กลุ่มเป้าหมายของงานวิจัยคือกลุ่มใด
สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ก็จะเป็นอาจารย์ผู้สอนรายวิชา 0503 343 วิธีวิทยาการสอนคอมพิวเตอร์ จำนวน 1 คน อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษาที่สอนในรายวิชา 0530101 นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทางการศึกษา จำนวน 8 คน นิสิตสาขาเทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ศึกษา ชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 0503 343 วิธีวิทยาการสอนคอมพิวเตอร์ และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอนในรายวิชา 0530 101 นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทางการศึกษา ในปีการศึกษา 2566 จำนวน 37 คน ปีการศึกษา 2567 จำนวน 55 คน นิสิตชั้นปีที่ 1 หลักสูตรการศึกษาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชา 0530101 ในปีการศึกษา 2566 ทั้งหมด 22 กลุ่มเรียน จำนวน 586 คน ปีการศึกษา 2567 ทั้งหมด 25 กลุ่มเรียน จำนวน 818 คน
ปัจจุบันมีการนำงานวิจัยไปทดลองใช้แล้วหรือไม่ อย่างไร
ในปัจจุบันอาจารย์ได้นำโมเดลการสอนนี้ไปทดลองแล้วในปี 2566 ผลวิจัยก็เป็นไปในทางที่ดี ทั้งความพึงพอใจของผู้เรียนที่เป็นนิสิตชั้นปีที่ 1 ที่อยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด ความสามารถในการสอน และพฤติกรรมการเป็นนิสิตช่วยสอนที่อยู่ในระดับดีมากจากผลการประเมินโดยอาจารย์ประจำวิชา 101 และนิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาเทคโนโลยีการศึกษาและคอมพิวเตอร์ศึกษาประเมินตนเอง ส่วน Feedback เพิ่มเติม นิสิตชั้นปีที่ 1 ให้ข้อมูลว่าสามารถนำความรู้ทักษะไปใช้ในรายวิชาอื่นๆได้ การเรียนกับรุ่นพี่ปี 3 ที่เป็นนิสิตช่วยสอนที่มีวัยใกล้เคียงกันทำให้กล้าถาม กล้าขอความช่วยเหลือหากปฏิบัติไม่ได้ แต่การมีอาจารย์ประจำวิชาที่อยู่ในห้องด้วยก็ช่วยอธิบายให้ความชัดเจนในข้อสงสัยที่พี่นิสิตช่วยสอนตอบไม่ได้และให้คำแนะนำเพิ่มเติมนอกจากบทเรียนได้อีก โดยผลการวิจัยและโมเดลการสอนในปี 2566 กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการตีพิมพ์บทความ ส่วนภาคต้น ปีการศึกษา 2567 นี้ ก็กำลังดำเนินการทดลองใช้โมเดลที่ปรับปรุงจากปีที่แล้วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็เริ่มเห็นข้อค้นพบใหม่ๆ แล้ว
ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานอย่างไรบ้าง
ปัญหา และอุปสรรคก็จะมีผู้ที่เข้ามาเรียนจำนวนมาก มีจำนวนอาจารย์ผู้ สอนน้อย และยังมีภาระงานมาก จำนวนทรัพยากรน้อยและขาดความพร้อม
ระบบการศึกษาในด้าน IT ควรปรับปรุง หรือ พัฒนาไปในทิศทางใดได้บ้างอย่างไรเพื่อเตรียมนิสิตให้พร้อมกับตลาดแรงงานในอนาคต?
ระบบการศึกษาในด้าน IT ควรปรับปรุง หรือนั้น ผู้บริหารสถาบันการศึกษาที่มีวิสัยทัศน์จะนำมาซึ่งนโยบาย แผน งบประมาณ ทรัพยากรที่พร้อมและทันสมัย กำลังคนที่มีคุณภาพ หากขาดความเชี่ยวชาญควรมีทีมที่ปรึกษาทางITที่ดี เพื่อการปรับตัวได้ไวอย่างมีทิศทาง ทำให้การลงทุนกับทรัพยากรทาง IT ในหน่วยงานเพียงพอ พร้อมใช้ คุ้มค่ายั่งยืนสถาบันการศึกษาควรสนับสนุนการสร้างเครือข่าย ทำความร่วมมือมีพาร์ทเนอร์กับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน หรือ ภาคประชาชน มาช่วยจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดได้อย่างรวดเร็วเท่าทันโลกภายนอกมากขึ้น โครงการความร่วมมือต่างๆ อาจมีตั้งแต่ระดับมหาวิทยาลัย คณะ ภาควิชา สาขา หลักสูตร ลงไปจนถึงรายวิชาได้ การมีข้อมูลที่อัปเดต และเป็นระบบเกี่ยวกับความต้องการจากตลาดแรงงานในอนาคตทั้งจากศิษย์เก่าที่สำเร็จการศึกษาไป และผู้ใช้บัณฑิตที่สะท้อนปัญหา และความต้องการในลักษณะของข้อมูลเชิงลึก จะช่วยให้สถาบันการศึกษานั้น พบ Gap หรือ Pain Point ที่ชัดเจน ที่หลักสูตรจะนำมาพัฒนานิสิตได้อย่างมีทิศทางการมีหน่วยงานสนับสนุน IT for Learning ที่ดี ที่ไม่ใช่แค่โครงสร้างพื้นฐานทางIT
และมีเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนด้านการออกแบบการเรียนการสอน ออกแบบหลักสูตรฝึกอบรม มีความสามารถในการเสาะแสวงหานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือดีลผู้เชี่ยวชาญแบบมืออาชีพ ที่มีความรู้ ทักษะการถ่ายทอดที่ดีมีคุณภาพ จะช่วยให้อาจารย์ นิสิต และเจ้าหน้าที่ด้านต่างๆ สามารถอัพสกิลได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนหน่วยงาน หรือ ผู้จัดโครงการฝึกอบรมต่างๆ ควรมี Empathy ในการจัดโครงการ มีจิตวิญญาณในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โครงการที่พัฒนาคน ไม่ใช่โครงการที่แค่จัดให้เสร็จ การจะจัดให้สำเร็จ แต่ต้องใส่ใจทั้งดีเทลคนเข้าร่วม การคัดเลือกคนถ่ายทอดความรู้ การออกแบบวิธีการ การเลือกรูปแบบการประเมินที่วัดผลได้ จัดให้บรรลุเป้าหมาย ลดความซ้ำซ้อน ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณ เชื่อมต่อกับฝ่ายบริหารในการจัดหาสิ่งที่ให้มาอบรมแล้วสามารถนำกลับไปใช้งานได้จริงความพอเพียงความพร้อมเป็นด่านแรกของการเข้าถึงเทคโนโลยี การจัดหาและการบำรุงรักษา ทรัพยากรก็เป็นสิ่งสำคัญมากไม่แพ้กัน อยากให้องค์กรและหน่วยงานตระหนักถึงสิ่งนี้ด้วย ความรู้และความเข้าใจในเทคโนโลยีสมัยใหม่ นอกจากเจ้าหน้าที่IT แล้ว เจ้าที่พัสดุ การเงิน แผน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ควรต้องอัปเดตไปพร้อมๆกัน
อาจารย์คิดว่าเราจะสามารถนำงานวิจัยลงสู่ชุมชนได้อย่างไรบ้าง
โมเดลการสอนนี้ สร้างมาเพื่อสร้างนิสิตช่วยสอนไปสอนความรู้ และพัฒนาทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัย และ AI สำหรับนิสิตครู ซึ่งสาขาคอมพิวเตอร์ศึกษาในสถาบันอื่นอาจนำไปปรับใช้ได้ง่าย เพราะมีการออกแบบการสอนไว้ 16 สัปดาห์ครบทั้งภาคเรียนแต่หากจะนำโมเดลนี้ไปใช้สร้างนิสิตช่วยสอนเพื่อไปสอนความรู้และทักษะเทคโนโลยีร่วมสมัย และ AIให้คนในกลุ่มอาชีพต่างๆ อาจจะต้องมีการปรับเนื้อหาบางส่วน ให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายที่นิสิตช่วยสอนจะไปสอนจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
ฝากอะไรถึงนักวิจัยรุ่นใหม่อย่างไรบ้าง
ปัญหาในการทำงานมีอยู่ทุกที่ เราเป็นนักวิชาการ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านแล้วนั้น เราจะเริ่มจากการพัฒนาพื้นที่ที่ตัวเองดูแลให้ดี เช่น ในชั้นเรียนในรายวิชาของเรา สาขาภาควิชาของเราขึ้นก่อน ค่อยขยับขยายไปสู่สเกลที่ใหญ่ขึ้น ท้าทายตัวเองในโจทย์ที่ใหญ่ขึ้น หรือพื้นที่ภายนอก จะทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ใหม่ ได้บทเรียนแล้วเติบโตได้ไวขึ้น
ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ไหน
• ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
• FB: AjIng MSU
เบอร์โทรศัพท์ 043 713714