จากวันแรกที่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามในฐานะนักศึกษาทุนโครงการพระราชทานฯ ของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี Chandara DOUNG ศิษย์เก่าวิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สู่บทบาทสำคัญในการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายสารนิเทศ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ สาร MSU ONLINWE จะพาทุกท่านไปพูดคุยกับเขากับประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจและความรัก ความผูกพันต่อมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเขายังคงเรียกว่า “บ้านหลังที่สอง” มาร่วมฟังเรื่องราวแรงบันดาลใจและข้อคิดดีๆ ที่เขาฝากถึงรุ่นน้องในบทสัมภาษณ์นี้ มาติดตามกันค่ะ
แนะนำตัว
สวัสดีครับ ผมชื่อ Chandara DOUNG ชื่อเล่น ดาด้า จบการศึกษาสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หลักสูตร รัฐศาสตร์บัณฑิต วิทยาลัยการเมืองการปกครอง ปีที่สำเร็จการศึกษา 2555 ครับ
ปัจจุบัน : ผู้ช่วยฝ่ายสารนิเทศ สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ (กัมพูชา) ครับ
อยากให้เล่าถึงประสบการณ์ในการทำงาน
โดยภาพรวมงานที่ผมได้รับมอบหมายช่วยงานในฝ่ายเศรษฐกิจ ฉะนั้นจะต้องคอยช่วยเจ้าหน้าที่การทูตที่ดูแลฝ่ายเศรษฐกิจติดตามพัฒนาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมเศรษฐกิจของกัมพูชา และความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมกับต้องทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้กับคณะจากประเทศไทยตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ทั่วไปจนถึงระดับประมุขรัฐบาล หรือเชื้อพระวงค์ ที่เดินทางหรือทรงเสด็จเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้จะต้องติดตามหรือปฏิบัติหน้าที่เป็นล่ามให้กับคณะจากประเทศไทย เจ้าหน้าที่การทูต หรือท่านเอกอัครราชทูตประชุม หรือหารือความร่วมมือกับกัมพูชาครับ
ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ายเศรษฐกิจจะต้องจัดงานหรือโครงการต่างๆที่อยู่ในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในด้านนี้และด้านอื่นๆระหว่างไทยและกัมพูชา ตัวอย่างเช่นการจัดงาน Education and Jobs Fair ซึ่ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เข้าร่วมเป็นประจำทุกปี งานสัมมนาธุรกิจประจำปี โครงการสำรวจเส้นทางธุรกิจ การค้า การลงทุน เป็นต้นครับ
ดังนั้นจึงก็ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี เนื่องจากได้ทำงานตรงสายที่เรียนมา ทั้งการทูต และเศรษฐกิจ ซึ่งตอนเรียนได้เรียนเศรษฐกิจธุรกิจ คณะการบัญชีและการจัดการ มาด้วยเช่นด้วยกัน ทำให้เราได้นำความรู้ที่เคยเรียนมาต่อยอดและประยุกต์ใช้ในการทำงานในปัจจุบันนี้ได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้นครับ
บอกเล่าถึงบรรยากาศระหว่างเรียน รวมถึงประสบการณ์ดีๆ เมื่อครั้งเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ที่จริงตอนที่ผมสอบทุนได้เป็นสาขาวิชานิติศาสตร์ ตอนนั้นนิติศาสตร์ยังอยู่ในวิทยาลัยการเมืองการปกครองอยู่ ก่อนจะย้ายมาเรียนที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเนื่องจากมีข้อจำกัดในด้านภาษา จึงขออนุญาตเล่าตั้งแต่ได้ทุนเรียนนิติศาสตร์จนถึงรัฐศาสตร์แล้วกันนะครับ

ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นวิทยาลัยการเมืองการปกครองเหมือนมีนักเรียนต่างชาติแค่ 2 คนเท่านั้น ผมเป็นคนที่ 2 ซึ่งค่อนข้างได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ พี่ๆที่อยู่ในสำนักงานเลขานุการของวิทยาลัย และอาจารย์ทุกท่านครับ นับตั้งแต่การช่วยจัดตารางเรียน ลงทะเบียน หาพี่รหัสหรือรุ่นพี่ที่ช่วยดูแลและพอจะสื่อสารกับผมได้เนื่องจากตอนนั้นการสื่อสารภาษาไทยของผมยังไม่ค่อยดี อาจารย์จึงได้ช่วยให้รุ่นพี่ช่วยสอนพิเศษเพื่อให้ผมสามารถเรียนทันเพื่อนและเตรียมตัวสอบได้ จนสุดท้ายผมย้ายมาเรียนที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตอนปี 2 ขณะนั้นภาษาไทยมีพัฒนาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ และความอนุเคราะห์จากพี่ๆ ที่วิทยาลัย และอาจารย์ทุกท่านที่เคยสอนมาโดยตลอดครับ ทำให้เรารู้สึกว่าถึงแม้ว่าจะห่างไกลจากบ้านแต่ยังมีคนช่วยเราอยู่เสมอเมื่อต้องการความช่วยเหลือ ไม่ค่อยโดดเดียว และอบอุ่น ก็จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและเรียนจบได้ในที่สุดครับ

จริงๆ แล้วยังมีสิ่งดีอีกมากมายที่ผมผ่านมาตอนเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเป็นความทรงจำและประสบการณ์ที่ดีในการช่วยให้ผมผ่านพ้นอุปสรรคมากมายตอนที่เรียนที่นั้น ไม่ว่าจะเรื่องภาษา อาหารการกิน การปรับตัวเขากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และโดยเฉพาะการเรียนนั่นเองครับ
ทักษะที่ได้รับระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม นำไปปรับใช้ได้อย่างไรบ้าง
นอกจากการเรียนตามหลักสูตรที่สามารถให้เรามีความรู้ความสามารถในสายอาชีพเราแล้ว การได้ไปเรียนไกลบ้าน และต่างบ้านต่างเมืองมันมีความลำบากในการปรับตัวให้เข้าบริบททางสังคมแบบใหม่ ไม่ว่าประเทศไทยและกัมพูชาอาจมีหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นทักษะแรกที่เราได้รับคือ การสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ๆ ได้ง่ายมากขึ้น มีความอดทนและแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยตัวเอง หรือพูดง่ายๆ คือทักษะการเอาตัวรอดครับ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อการเข้าสู่ชีวิตการทำงานในอนาคตครับ และอีกทักษะหนึ่งคือการทำงานเป็นกลุ่ม (Teamwork) และการสื่อสาร เนื่องจากตอนสมัยเรียนที่ มมส. ได้มีโอกาสทำงานเป็นกลุ่มกันบ่อยๆ ทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกับเพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องซึ่งช่วยให้เราสามารถสื่อสารกับคนได้หลากหลายบริบทครับ
อยากให้เล่าถึงความรู้สึกที่ได้รับทุนสมเด็จพระเทพฯ ถึงความภาคภูมิใจ ที่ทำให้เรามีวันนี้
การได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการอยู่แล้วครับ ยิ่งเราได้ทุนพระราชทานของพระองค์ท่านยิ่งเป็นสิ่งที่สร้างความปลาบปลื้มใจ และภาคภูมิในตัวเองอย่างที่สุด ซึ่งตามชื่อโครงการคือ “โครงการพระราชทานความช่วยเหลือด้านการศึกษาแก่ราชอาณาจักรกัมพูชาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” ซึ่งในที่สุดเรากลายเป็นส่วนหนึ่งที่ได้โอกาสไปศึกษาต่อและกลับมาพัฒนาประเทศของตนตามพระดำริของพระองค์ท่าน และที่สำคัญผมได้มีโอกาสทำงานเพื่อช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ ความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองให้ใกล้ชิดกันมากขึ้นไปครับ
ความภาคภูมิใจในการเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
“มมส คือบ้านหลังที่สองครับ” เป็นวลีสั้นๆที่ผมพูดแล้วรู้สึกปลื้ม ทุกครั้งที่กลับมาประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มาทางภาคอีสาน ห้ามไม่ได้ที่จะคิดถึงบรรยากาศของ มมส. เป็นที่แรก หลังจากกลับกัมพูชาแล้ว ผมได้มีโอกาสกลับไป มมส. บ้าง ถึง มมส.จะเปลี่ยนไปมากทั้งสภาพแวดล้อม ผู้คน และโครงสร้างอื่นๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนจากวันแรกที่ผมไปถึงมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อปี พ.ศ. 2552 คือ “ความรู้สึกครับ” ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่เราอยู่มาเป็นเวลาหลายปี ฉะนั้นหากเลือกให้อยู่ได้นอกจากบ้านเกิดแล้วก็คงเป็นที่นี่ครับ!!! “มมส.” เพราะ “การได้กลับ มมส.คือการกลับบ้าน การได้อยู่ มมส. คือการอยู่บ้านครับ”
ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิต
ส่วนตัวของผมถือคติที่ว่า “ลำพังความรู้ ปราศจากคุณธรรมความดี ชีวิตก็ดีไม่ได้” ดังนั้นสำหรับผมแล้ว ความรู้เพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จได้ หากปราศจากคุณธรรมและความดีงาม เราจึงต้องเดินควบคู่กันไป ทั้งการแสวงหาความรู้ และการฝึกตนให้เป็นคนดี มีความซื่อสัตย์และจริยธรรม เพราะแม้คนที่มีความสามารถและฐานะดี แต่ขาดคุณธรรม ย่อมก่อให้เกิดปัญหาทั้งต่อตนเองและสังคม ดังนั้น ในระหว่างเส้นทางการเรียนรู้ อย่าลืมหล่อหลอมตนเองให้เป็นคนที่ทั้งเก่งและดีไปพร้อมกันนะครับ
ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่ประสบความสำเร็จ อยากให้ฝากถึงน้องที่ๆ กำลังเรียน
แน่นอนครับว่าการศึกษาและการพัฒนาตนเองเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุด หลายครอบครัวยอมเสียสละเพื่อให้เราได้มีอนาคตที่ดีขึ้น ดังนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ หากวันนี้เรายังไม่รู้ว่าหน้าที่ของเราคืออะไร นั่นอาจหมายความว่าเราเดินมาผิดทางตั้งแต่ต้น นอกจากความรู้ในห้องเรียนแล้ว ขอให้กำลังใจน้องๆ ในการพัฒนาทักษะเสริม เช่น ภาษา เทคโนโลยี การสื่อสาร และการทำกิจกรรมทางสังคม พร้อมดูแลสุขภาพกายใจให้แข็งแรง ที่สำคัญที่สุดคือการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาท และไม่ฟุ่มเฟือย เพราะชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว และอาจส่งผลต่อคนที่เรารัก จงใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม และผู้อื่นครับ
เชิญชวนน้องๆ มาเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
สำหรับคนที่กำลังจะเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย แน่นอนครับว่าหลายท่านอาจมีสาขาวิชา และมหาวิทยาลัยในใจอยู่แล้ว แต่ทุกท่านลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ มมส. เพื่อทำความรู้จักที่นี่เพิ่มมากขึ้นได้ บ้างทียิ่งท่านรู้จักที่นี่ ท่านอาจจะยิ่งชอบที่นี่ก็ได้ ซึ่งเท่าที่ผมทราบในปัจจุบัน มมส. ได้มีการพัฒนาในหลายๆด้านทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานของมหาวิทยาลัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม หลักสูตรการเรียนการสอนที่มีความทันสมัยและตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลกปัจจุบัน ประกอบกับบุคลากรทุกภาคส่วนมีจรรยาบรรณและคุณภาพที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ และถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกท่าน ซึ่งที่เห็นได้ชัดศิษย์เก่าที่จบจากที่นี่หลายท่านมีความรู้ความสามารถ และคุณภาพเพียงพอต่อการทำงานในทุกระดับ และทุกภาคส่วนมาแล้ว