มหาวิทยาลัยมหาสารคามขอแสดงความยินดีกับ คุณมนตรี อุดมพงษ์ ศิษย์เก่าสาขาวิชาภาษาไทย ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เนื่องในโอกาสได้รับคัดเลือกเข้ารับ “รางวัลพระธาตุนาดูนทองคำ” ประจำปี 2566 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาศิษย์เก่าดีเด่น
        มนตรี อุดมพงษ์ เป็นที่รู้จักจากรายการข่าว 3 มิติ โดยมีความเชี่ยวชาญเรื่องความไม่สงบในเขตชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และยังได้รับยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักข่าวที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนอีกด้วย วันนี้เขาจะมาแสดงความรู้สึกต่อมหาวิทยาลัยและบอกเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ จากความความฝัน สู่เส้นทางของนักข่าวของเขา ผ่านสาร MSU ONLINE  มาติดตามไปพร้อมๆ กันค่ะ




       นายมนตรี อุดมพงษ์  ศิษย์เก่าสาขาภาษาไทย  ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
       ผมขอขอบพระคุณสภามหาวิทยาลัย ที่มีมติมอบรางวัลพระราชทานพระธาตุนาดูนทองคำ ประเภทศิษย์เก่า  ซึ่งอันที่จริงรางวัลที่ผมได้รับนี้ ล้วนแต่เป็นผลผลิตจากการลงทุน ลงแรง ของครู อาจารย์และสถาบันแห่งนี้ที่พร่ำสอนด้วยการทุ่มแรงกายแรงใจครับ
        ผมเป็นคนหนึ่งที่ผูกพันธ์กับมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไม่น้อยกว่าไปกว่าภูมิลำเนาบ้านเกิดของตัวเองด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะการเรียนมหาวิทยาลัย เป็นวัยของการอยากเรียนรู้ ทั้งเรียนรู้ในตำรา วิชาการ เรียนรู้การอยู่กับสังคมผ่านกิจกรรมต่างๆเช่นชมรม สโมสร หรือองค์การนิสิต รวมถึงเรียนรู้ตัวเองว่ามีศักยภาพ หรือมีข้อจำกัดด้านใดบ้าง  ถ้าจะต่อเติมเสริมศักยภาพ หรือจะแก้ไขข้อกำจัดนั้น ต้องทำอย่างไรบ้าง ก็ได้เรียนรู้ระหว่างที่ยังเรียนในมหาวิทยาลัยนี่เอง  
        อีกอย่างการเรียนรู้ในระหว่างที่เรียน มักเป็นช่วงที่เรียนรู้ทั้งถูกทางและผิดทาง เมื่อถูกทางก็ได้ความมั่นใจ เมื่อผิดทางก็ได้โอกาสแก้ไข ซึ่งจะแตกต่างกันพอสมควรกับโลกของการทำงาน ที่แทบจะไม่เปิดโอกาสให้เกิดความผิดพลาด
        ก้าวสำคัญของการเรียนรู้ คือ  การมีความสุขในการเรียน ซึ่งการจะมีความสุขในการเรียนได้ อย่างน้อยก็ควรจะรู้เป้าหมาย
กว้างๆ ของการเรียนรู้  





        ด้วยความที่ผมเป็นนักข่าว จึงมีโอกาสสัมภาษณ์คนหลากหลายอาชีพที่ประสบความสำเร็จในวิถีทางของตัวเอง และพบว่าคนเหล่านี้ มีเคล็ดลับสำคัญที่คล้ายๆกัน ที่ทำให้ประสบความสำเร็จคือ ความฝัน เป้าหมาย การลงมือทำและวินัยครับ

        ความฝัน มีหลากหลายขนาด และขนาดของความฝันก็มีผลต่อแรงผลักดันนั้นด้วย บางคนฝันว่าจะมีเรียนให้จบๆไป ซึ่งก็คงทำได้ไม่ยากนัก หรือบางคนมีความฝันว่า จะทำตามความฝันของคนอื่นให้สำเร็จ เช่นคว้าปริญญาให้พ่อ แม่ หรือครอบครัว ซึ่งก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด  
        แต่หลายครั้งที่ขนาดความฝันเล็กหรือใกล้ หรือง่ายเกินไปจนแทบจะกลายเป็นชีวิตประจำวัน เมื่อทำตามความฝันนั้นสำเร็จ ก็แทบจะหมดความกระตือรือร้น บางคนถึงกับบอกว่าชีวิตหมดความหมาย หมดความท้าทาย เพราะไม่มีความฝันหรือเป้าหมายอื่นอีกแล้ว
        มหัศจรรย์ของความฝันคือ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าศักยภาพที่เรามีอยู่ในขณะนั้น เพื่อให้เราฟันฝ่าไปสู่ความฝันนั้น และแม้ว่ามันจะไปไม่ถึงฝัน แต่มันก็ไปไกลกว่าจุดที่เคยอยู่  และด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ทุ่มแรงกายแรงใจ ไปแล้ว แต่ก็ยังไปไม่ถึงความฝัน ก็ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังอะไร เพราะความฝันมันควรจะตั้งไว้ให้ไกลกว่าศักยภาพที่มีอยู่ในเวลานั้นเสมอ