“นักธุรกิจ” เป็นคำในฝันที่หลาย ๆ คนอยากจะเป็น นั่นคือการได้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย มั่งคั่ง มีเงินมากพอที่จะทำให้ตนเอง และคนที่เรารักมีชีวิตสุขสบาย ซึ่งธุรกิจนั้นไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝัน แน่นอนว่าการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือ จะทำอย่างไรให้ธุรกิจของเราประสบความสำเร็จ เพียงแค่เรารู้จักคิดริเริ่ม รู้จักมองสิ่งที่ใกล้ตัว อยู่รอบ ๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นในชุมชนหรือในท้องถิ่นเอง เพราะการทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ไม่จำเป็นต้องมองหาหรือไขว่คว้าสิ่งที่ไกลตัว เพราะบางทีสิ่งที่ใกล้ตัวก็สามารถนำมาสร้างรายได้มหาศาล เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่า และสามารถสร้างแบรนด์ใหญ่ ๆ
ที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้เลยทีเดียว เพียงแค่เรามีความมุ่งมั่น ตั้งใจ วางเป้าหมายให้ชัดเจน เช่นเดียวกับ “ตั้ม จิรวัฒน์ มหาสาร” ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เจ้าของแบรนด์
CHAKSARN เป็นผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากต้นกก แบรนด์ไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย แต่ระยะทางของความสำเร็จก็รายล้อมไปด้วยอุปสรรคมากมาย และกว่าที่จะประสบความสำเร็จได้ในวันนี้นั้น ต้องผ่านอะไรมาบ้างนั้น มาติดตามกันค่ะ
“ตั้ม จิรวัฒน์ มหาสาร” ศิษย์เก่าคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เจ้าของแบรนด์ CHAKSARN ผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากต้นกก แบรนด์ไทยที่ดังไกลไปทั่วโลก
จุดเริ่มต้น ที่มาของการสร้างแบรนด์ Chaksarn
ทำแบรนด์จักสาน แบรนด์กระเป๋าจากเสื่อกกทอมือของทางอีสานก็มาทำเป็นกระเป๋าของผู้หญิง จุดเริ่มต้นคือ ไม่ได้เรียนมาทางด้านดีไซน์ ไม่ได้เรียนทางด้านธุรกิจโดยตรง จบเอกภาษาอังกฤษ คณะมนุษยศาสตรจบมาไปทำงานในกรุงเทพฯ เป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป ทำงานเป็นพนักงานประจำ แต่รู้สึกว่าทำงานไป 6 – 7 ปีแล้ว เริ่มอิ่มตัวว่าไม่ใช่ทางของเรา รู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ได้ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อที่จะค้นหาตัวเอง ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่ได้รู้ว่าตัวเองจะมาทำธุรกิจส่วนตัว ยังไม่เลยว่าการทำธุรกิจส่วนตัวหรือการเริ่มทำธุรกิจรู้สึกอย่างไร จึงเอาตัวเองไปอยู่ในแวดวงนั้น ๆ ที่เราสนใจก่อน ณ ตอนแรกไปเรียนก่อนด้านธุรกิจพอให้ตัวเองมีแรงบันดาลใจ เติมไฟให้ตัวเอง หลังจากนั้นจึงรู้สึกว่าไม่อยากกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศแล้ว จึงได้กลับไปอยู่ที่บ้าน ช่วงเวลาอยู่ที่บ้าน ระหว่างช่วงเปลี่ยนถ่ายเสื่อกกที่บ้าน รู้สึกว่าเป็นวัสดุที่มีความงาม มีคุณค่า แต่ขายได้ในราคาแค่ 100 – 200 บาท ไม่มีใครทำ จึงคิดว่าวัสดุนี้เป็นวัสดุที่ใกล้ตัวเลยอยากที่จะเอาตัวนี้มาพัฒนาต่อยอด เพราะว่าอยู่กับมันจนชิน แล้ว้รารู้สึกว่าทำไมถึงขายได้แค่ 100 – 200 บาท แต่หากถ้าเพิ่มมูลค่าให้มัน ก็จะได้ช่วยชาวบ้านไปในตัว น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เริ่มจับวัสดุตัวนี้เป็นตัวหลัก ตั้งต้นเริ่มทำธุรกิจตอนแรกก็ยังไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรกับเสื่อตัวนี้ คิดไปคิดมาจะทำอะไรดี วัสดุค่อนข้างมีความแข็งกระด้างทำเสื้อผ้าก็ทำไม่ได้จะเอามาทำเฟอร์นิเจอร์เป็นเสื่อปูนั่งเป็นของตกแต่งบ้านคนก็ทำแล้ว เพราะว่าปกติเสื่อก็เป็นวัสดุตกแต่งบ้านของชาวอีสานอยู่แล้ว เวลาอยากทำอะไรจะรู้สึกอยากทำอะไรที่มันแตกต่าง อะไรที่ยังไม่มีใครทำ เห็นแล้วต้องว้าวต้องแชร์ต้องบอกต่อก็เลยนึกถึงกระเป๋าแฟชั่นเพราะว่ายังไม่มีคนทำ เพราะว่าปกติวัสดุไทย ๆ คนจะไปจับเรื่องผ้าไหม ผ้าฝ้ายมากกว่า ตัวเสื่อยังไม่มี พอได้วัสดุแล้วจึงอยากทำแฟชั่นไอเท็มจึงเริ่มลงมือเลย อันนี้คือจุดเริ่มต้นของแบรนด์จักสาน
จุดเริ่มต้นเรื่องทุนในการทำธุรกิจ
เริ่มต้นทุนไม่เยอะ มีเงินประมาณแค่หมื่นกว่าบาท แต่ว่าหลายคนอาจจะคิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจอาจจะต้องไปเปิดหน้าร้านต้องมีเงินเป็นแสน เป็นความคิดที่ผิด เพราะหลายอย่างตอนนี้เป็นออนไลน์หมดแล้ว ตอนนั้นเริ่มต้นแค่เงินหลักหมื่น มีเงินแค่หมื่นกว่าบาท เริ่มต้นด้วยการไม่ได้มีการลงทุนอะไรเลย เริ่มต้นด้วยการหาความรู้ใส่ตัวเองก่อนก็คือ หนึ่งเราสนใจแล้วเรารู้แล้วว่า เราต้องการที่จะทำเสื่อกก สิ่งที่ไม่มีคือความรู้ ว่าเสื่อกกมันทำมายังไง เราคุ้นชินมาตั้งแต่เกิด เราเห็นมาตั้งแต่เกิด เสื่อเอาไว้ปูนั่งรับประทานอาหาร ก็เห็นอยู่ทุกวันตั้งแต่เด็ก แต่เราท้อไม่เป็น เราก็เลยเริ่มต้นด้วยการให้คนที่บ้าน ให้คุณแม่สอนทอเสื่อ เราอยากเอาวัสดุตัวนี้มาพัฒนาต่อยอด เลยอยากรู้ว่าตั้งแต่ขั้นตอนวิธีการทำจนถึงได้เสื่อมาผืนหนึ่งมันต้องทำยังไงบ้าง ก็ให้แม่สอน เรียนทอเสื่ออยู่ประมาณครึ่งเดือน เราก็รู้วิธีการทอ ตั้งแต่เก็บต้นกก ย้อมสี ตาก แล้วก็สามารถคิดลายขึ้นเองได้ ซึ่งตัวนี้เป็นความรู้ที่เราไม่ต้องลงทุนเลย พอได้ความรู้เรื่องการทอเสื่อ ก็พอรู้แล้วแหละว่าถ้าจะพัฒนาคุณภาพของเสื่อต่อไปในอนาคตเราต้องควบคุมแล้วพัฒนาจุดไหนบ้าง สมมติได้เสื่อมาผืนหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้อีกว่าจะไปทำยังไงให้เป็นกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งการที่เราไม่รู้ไม่ใช่ข้ออ้าง และไม่ใช่จุดที่จะต้องมาหยุดความฝัน เพราะว่าคือบางคนอาจจะคิดว่าตัวเราไม่ได้อยู่ในแวดวงธุรกิจแบบนี้ ไม่ได้อยู่ในวงการแฟชั่น คนที่เขาเรียนแฟชั่นดีไซน์มาเขาน่าจะทำได้ดีกว่าเรา ก็จะหยุดตัวเองว่าจะไม่ทำต่อดีกว่า คนอื่นน่าจะทำดีกว่าเรา เราจะไม่เอาตัวนั้นมาเป็นเหตุผล เพราะเราไม่รู้ว่าการทำเสื่อกกมาเป็นกระเป๋ายังไงต้องทำยังไง ดังนั้นเราจึงก็ไปเรียนเพิ่มเติม ซึ่งเงินก้อนแรกที่ลงทุนไป ลงทุนในคอร์สเรียนทำกระเป๋าหนัง มีเงินอยู่ประมาณหมื่นกว่าบาท ก็เจียดเงินจากตรงนั้นไปลงคอร์สสั้น ๆ เรียนกระเป๋าหนังด้วยตัวเอง ไปอยู่ในแวดวงนั้น แล้วก็ให้รู้ว่าหนังมีกี่ประเภท ลักษณะการตัดเย็บเป็นยังไง วัสดุอุปกรณ์ต้องใช้อะไรบ้าง ซึ่งพอเราไปอยู่ในแวดวงนั้นแล้วทุกอย่างมันจะตามมา คอนเนกชัน ความรู้พื้นฐานมันก็ตามมา การเริ่มต้นของเริ่มจากการหาความรู้ก่อน พอได้คอนเนกชันพอได้รู้แล้วว่าจะทำตัวนี้ มีความรู้พื้นฐานการขึ้นแบบกระเป๋าต้องทำยังไง การเริ่มต้นในลอตแรกที่ผลิต ผลิตมาแค่ไม่เกิน 10 ใบ เพราะว่า ณ ตอนนั้นคือเรายังทุนน้อยอยู่ ยังทุนไม่เยอะ แล้วถ้าเราลงทุนเยอะ ๆ ถ้ามันไม่เวิร์กขึ้นมามันก็จะน่าเสียใจ ก็เลยเริ่มต้นน้อย ๆ เริ่มต้นนิดเดียว แต่คือการเริ่มต้นนิดเดียวของเรานี่คือใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งปีในการแก้ผิด ปรับแบบจนรู้สึกว่าลอตแรกที่อยากเปิดตัวกระเป๋าของเรา มันจะต้องปังที่สุดแล้ว มันต้องเลิศที่สุดแล้ว มันต้องขายให้ได้ เพราะว่าถ้าขายไม่ได้จะไม่มีเงินหมุนมาผลิตลอตต่อไป ก็เลยต้องทุ่มแรงให้กับคอลเลกชันแรก ให้มันดูแปลกใหม่ แปลกตาแล้วก็โดดเด่นที่สุด เปิดตัวมาผลิตมาแค่ 10 ใบ ขายหมดภายในไม่กี่วัน โดยลงขายผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ ซึ่ง ณ ตอนนั้นมันไม่ได้มีต้นทุนในการเปิดเฟซบุ๊กของแบรนด์ขึ้นมา เราไม่ต้องมีหน้าร้าน เราแค่ไปอยู่ในโลกของออนไลน์ทำตัวสินค้าของเราให้เป็นที่น่าสนใจ แล้วก็เป็นที่แปลกใหม่ มีเรื่องราวในการนำเสนอ พอเปิดตัวเสร็จก็ขายได้เลย รู้สึกภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ สิ่งที่เราเหนื่อยกับมันมาครึ่งปี พอขายได้ก็นำเงินตัวนั้นมาหมุนต่อเรื่อย ๆ จนตอนนี้ทำมาทั้งหมด 3 ปี ซึ่งตอนนี้เงินเข้าเป็นหลักล้าน ถือได้ว่าก้าวกระโดดพอสมควร ครั้งแรกไม่ได้มีหลายแบบ หลายใบ มี 1 แบบ ทำมา 10 ใบ ตั้งราคาอยู่ที่ 9,900 บาท กระเป๋าเสื่อกกจากผืนละ 100 – 200 ที่ชาวบ้านเขาขาย แล้วตอนที่พี่ตั้งราคาขาย 9,900 บาท ไม่มีใครเชื่อว่าจะขายสินค้าตัวนี้ได้ ไม่มีใครเชื่อว่าจะมีลูกค้าซื้อเสื่อกกที่เป็นกระเป๋าในราคา 9,900 บาทได้ แต่ราทำได้ ภูมิใจมากครับ
ปัญหา อุปสรรค แรงผลักดันที่ทำให้ผ่านมาได้
วันแรกที่ก้าวเข้ามาการเป็นพนักงานออฟฟิศทำธุรกิจเป็นของตัวเอง ปัญหามีทุกวันทุกชั่วโมง อุปสรรคมีทุกวัน แต่ก็พยายามแก้ปัญหาให้ได้ ปัญหาแรก ๆ ที่เจอในเรื่องของโพรดักชั่นอย่างที่เคยบอก ไม่มีความรู้ก็ต้องแก้ปัญหาโดยการไปหาความรู้เพิ่มเติม แล้วก็เอาตัวเองไปอยู่ในแวดวง ซึ่งปัญหานี้ก็พยายามแก้มาตั้งแต่ตอนแรก อย่างหนึ่งในเรื่องของโพรดักชั่นก็คือ เป็นเจ้าแรกเจ้าใหม่ ๆ ที่เอาวัสดุเสื่อกกมาตัดเย็บกับหนังซึ่งเทกเจอร์ของวัสดุ 2 อย่างนี้ต่างกัน แล้วยังไม่มีคนทำในท้องตลาดมากนัก ซึ่งวิธีการเรียนรู้ ทำให้ตัวเองรู้ know how เย็บหนังกับเสื่อกกยังไงให้เข้ากันแล้วดูแพง ให้ลูกค้าเห็นแล้วรู้ว่ามันเป็นของดีจริงค่อนข้างยาก ปรับแก้เรียนรู้ค่อนข้างนานในการที่จะทำให้กระเป๋าออกมาดูหรูหราดูไฮโซ ค่อนข้างที่จะเป็นปัญหาหลักของการผลิตในช่วงแรก แล้วอีกปัญหาอย่างหนึ่งที่เจอช่วงหนัก ๆ เลยก็จะเป็นในช่วงโควิด 19 ที่เข้ามาช่วงแรก ๆ ตอนนั้นเปิดแบรนด์มาได้ประมาณ 1 ปี มันเป็นช่วงขาขึ้น พอเปิดตัวก็ดังมาตั้งแต่เปิด ลงนิตยสารโว้ก นิตยสารแพรว ออกรายการทีวีทุกช่องทุกรายการที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ช่วงนั้นแบรนด์ค่อนข้างที่จะบูม แล้วก็คนกำลังเริ่มที่จะรู้จัก ก็เลยใจพองโต ใจใหญ่มาก กำลังได้กำลังเป็นช่วงเวลาของเราแล้ว ใจใหญ่เปิดหน้าร้าน เช่าออฟฟิศที่กรุงเทพฯ ที่สาทร หน้าร้านแรกเปิดพร้อมกับห้างไอคอนสยาม หรูหราไฮโซมาก ค่าเช่าแพงมาก เปิดหน้าร้านครั้งที่ 2 อยู่ที่เทอร์มินอล ทเวนตี้วัน อโศก ใจกลางกรุงค่าเช้าแพงอีก แล้วมาเจอโควิดเข้าพอดี คือช่วงนั้นรายได้จากที่เราเคยมีหลักแสนหลักล้านมักลายเป็นศูนย์ในพริบตา พอเกิดล็อกดาวน์รายได้ไม่มีเลย ช่วงนั้นรู้สึกว่าเครียดมาก เงินในบัญชีหลักล้านลดลงมาเหลือแค่ 20,000 บาท ซึ่ง 20,000 บาทตัวนี้ค่าเช่าออฟฟิศค่าเช่าต่าง ๆ ยังไม่ได้จ่ายคือเครียดมาก แต่มันต้องมีหนทางมันต้องมีวิธีทำยังไงให้เราสามารถไปต่อได้ในช่วงโควิดนี่คือที่พี่เจอหนักสุด ด้วยความที่เราไม่ท้อมันเป็นชีวิตของเราถ้าเราไม่สู้ต่อไปสิ่งที่รอเราอยู่คืองานประจำ งานออฟฟิศ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่เราแล้ว ไม่อยากกลับไปทำงานประจำ ไม่อยากกลับไปทำงานออฟฟิศอีกแล้ว ไม่อยากไปเข้างาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 3 ทุ่มแล้วกลับมาเหมือนโดนดูดพลัง ไม่ได้ใช้ความคิดเริ่มสร้างสรรค์ ไม่ได้ใช้ความเป็นตัวของตัวเองในการใช้ชีวิตอยู่ในแต่ละวัน จึงรู้สึกว่าตัวนี้คือตัวผลักดันของเรา ถ้าเราไม่รอดในช่วงโควิด ตัวนี้ชีวิตเราจะกลับไปอยู่ไปในที่เดิม มันเป็นกรอบที่เราไม่ชอบ พอเราออกมาแล้วเราอยากอยู่นอกกรอบแบบนี้ให้ได้นานที่สุด มันก็เลยเป็นตัวผลักดันให้เราหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดช่วงโควิดให้ได้ ซึ่งวิธีการเอาตัวรอดของในช่วงนั้นก็คือ ตัดค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกไปให้หมดเลย อะไรที่ไม่จำเป็นต้องตัด ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือการทำบัญชี เราไม่ได้จบบัญชีมา จบด้านสายภาษามา ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ซึ่งตอนนั้นปวดหัวมาก เราต้องไปเรียนรู้การทำบัญชีใหม่ อ่านศึกษาใหม่เองหมดเลยเพื่อที่จะประคับประคองธุรกิจของเรา ทำยังไงให้ cash flow ยังดีอยู่ และรักษาเสถียรภาพในเรื่องของการเงินให้ได้อยู่ ประคับประคองตัวเองไปตัดค่าใช้จ่ายให้ได้ ก็ปิดหน้าร้าน ยกเลิกสัญญาเช่าออฟฟิศ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถตัดได้ก็คือตัด พนักงานเคยมีหลายคนก็ลดลง จากที่เคยออกไปถ่ายโฟโต้ชูด จ้างนางแบบแพง ๆ จ้างที 40,000 – 50,000 บาท ก็ตัดลงมา เอาตัวเองมาเป็นพรีเซนเตอร์ เพราะฉะนั้นเราได้เริ่มรู้สึกว่าการเอาตัวเองเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ของเราเอง ลูกค้าชอบ ลดค่าใช้จ่ายในเรื่องของตัวเองออกไปได้เยอะมาก ตอนที่เกิดโควิดเราถ่ายโฟโต้ชูดใส่ส้นสูง ชุดแบบเวอร์วังอลังการมาก มาให้คนที่ติดตามเราให้ติดตามกันต่อไป ซึ่ง ณ ตอนนั้นเซลล์ก็คือเป็นศูนย์ไม่มีรายได้เลย แต่ว่ายอดติดตามของเราเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่น พอหลังจากโควิดผ่านไปเสร็จ ลูกค้าที่เขาฟอลโลเราที่อยู่ในช่วงโควิด พอเขาพร้อมที่จะซื้อสินค้าเรา เขาก็จะล็อกดาวน์จบไป ซึ่งรายได้ก็กลับเข้ามาอีก ซึ่งมันเป็นการที่ใช้เวลาช่วงโควิดในการ พรีเซนต์ตัวเองแล้วก็รายได้เข้ามา หลังจากนั้นก็ค่อนข้างเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ค่อนข้างโอเค แล้วก็อยากบอกทุกคน ว่าปัญหามันมีทุกวันจริง ๆ แก้ทุกวันแต่ว่าอย่ายอมแพ้ สู้ต่อไปทุกวันครับ
กลุ่มลูกค้าของแบรนด์ Chaksarn
ลูกค้าหลักของแบรนด์จักสานส่วนมากจะเป็นคนไทย แค่ว่าคนไทยก็จะแบ่งออกเป็น 70% คนไทยที่อยู่ประเทศไทย อีก 30% อยู่ต่างประเทศ ก็คือเราจะส่งกระเป๋าออกต่างประเทศทั่วโลก กลุ่มลูกค้าหลัก ๆ จะเป็นผู้หญิงช่วงอายุ 30 – 40 ปีประมาณนี้ เป็นช่วงวัยทำงาน และมีกำลังการซื้อค่อนข้างสูงเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้น้ำจะขายช่องทางออนไลน์เป็นหลัก 100% ตอนนี้ยังไม่มีหน้าร้าน มีออกบูธบ้าง แต่ว่ารายได้หลัก ๆ จะมาทางออนไลน์ทางเฟซบุ๊ก ไอจี และทางเว็บไซต์ ล่าสุดมีการสร้างคอนเทนต์บนติ๊กต๊อก เราเริ่มเรียนรู้ว่าจะเป็นดาวติ๊กต๊อกต้องทำยังไง กำลังสร้างคอนเทนต์อยู่ลูกค้าที่ผ่านเข้ามาทางติ๊กต๊อกก็ค่อนข้างเยอะพอสมควร ยังไม่มีแพลนกลับไปมีหน้าร้านเหมือนเดิมยังสนุกกับการทำคอนเทนต์ออนไลน์มากช่วงนี้ แล้วก็ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทบจะไม่มีในการทำคอนเทนต์ และการขายออนไลน์ จะเป็นขายปลีก ลูกค้าจะซื้อไปใช้ เนื่องจากว่ากำลังการผลิตยังไม่สูงงาน งานแฮนด์เมดเป็นงานที่ค่อยข้างลิมิเต็ดก็คือผลิตได้ช้าเพราะว่าเป็นงานทอมือ ดังนั้นก็เลยมุ่งเน้นการขายปลีกขายให้ลูกค้า มีนักลงทุนต่างชาติหรือนักลงทุนในเมืองไทยเข้ามาเยอะมากที่จะให้เป็นฐานการผลิตเพื่อส่งให้เป็นธุรกิจสู่ธุรกิจ ณ ตอนนี้ยังไม่สามารถไปจุดนั้นได้ ยังสนุกในการขายให้กับลูกค้าไปใช้เองอยู่ ยังรู้สึกว่า ณ ตอนนี้ยังอยากขายภายใต้แบรนด์ Chaksarn อยู่ ยังไม่อยากผลิตขายให้กับแบรนด์อื่นเพื่อมาเป็นคู่แข่งเรา ขอทำเฉพาะภายใต้ของแบรนด์เราก่อน ซึ่งเราจะขายเป็นดีไซน์ของตัวเอง ในตัวที่เราออกแบบแล้วก็ดีไซน์อยู่แล้ว
ฝากข้อคิดอะไรถึงน้อง ๆ ที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจ
ขอแนะนำ 3 ข้อ ข้อแรก คือ ถ้าเราอยากเริ่มต้นธุรกิจหรืออยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองให้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และมี Passion อันนี้สำคัญมาก ถ้าเรามี Passion กับสิ่งที่เราทำมันจะเป็นแรงผลักดันที่ดีมาก ๆ คือจะเหนื่อยแค่ไหน จะหนักแค่ไหน จะยากแค่ไหน ถ้าเรารักในสิ่งที่เราทำยังไงมันก็ไปต่อได้
อย่างที่สองคือ Devotions ต้องอุทิศตนเองให้สิ่งนั้น พอเราหาสิ่งที่เราอยากทำและรักได้ เราต้องอุทิศตัว และทำมันให้ดีที่สุดเราจะไม่เสียใจ ถ้าเราทำมันแบบพาร์ทไทม์ผลที่ได้ก็จะได้แบบพาร์ทไทม์ แต่ถ้าเราทำมันแบบฟลูไทม์ให้มันสุดตัวมี 100 ให้ 120สิ่ งที่มันจะได้กลับมามันก็จะเป็นทวีคูณเช่นกัน
และสิ่งที่สามที่อยากฝาก สำคัญมาก ๆ คือ ห้ามหยุดเรียนรู้ สิ่งใหม่ ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างทุกวันนี้มันใหม่ตลอดเวลา อาชีพใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ก่อนไม่มีตัวคริปโทเคอร์เรนซี แต่ตอนนี้มีแล้วก็ต้องศึกษาหาความรู้ไม่แน่มันอาจจะเป็นอาชีพเราในอนาคต สกิลใหม่ ๆ สกิลใด ๆ ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เป็นเอกหรือคณะที่เราเรียน ถ้าเป็นความรู้รอบตัว โอกาสได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ให้คว้าไว้ ให้เรียนรู้ไว้ว่าสิ่งที่เราเรียนรู้ใหม่ ๆ บางทีอาจจะเป็นบันไดไปสู่ความของเราก็ได้ ห้ามหยุดเรียนรู้สิ่งนี้สำคัญมากครับ
*** ขอขอบคุณที่มาของเรื่องเล่าสร้างแรงบันดาลใจ กิจกรรมดีๆ จาก สำนักศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม